เริ่มต้นจากเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เราก็สาวปาร์ตี้ตัวแม่ ไม่กินเหล้าแต่แดนซ์กระจาย อยู่มาวันหนึ่งมีคนมาบอกว่า..จะมีมือกีตาร์มาใหม่ หล่อมว๊าก สเปคเราไรงี้..เราก็ตอบว่า..รู้ได้งัยว่าสเปคเราเป็นแบบไหน..ถ้าไม่หล่อ..โดนแน่!!!
และพอเราเจอพี่เค้าเท่านั้นล่ะ..บอกตรงๆๆ โลกใบนี้เหมือนมีแต่เรากับเค้า..และแล้วพี่ชายในกลุ่มเราก็จัดให้น้องสาวด้วยการไปบอกมือกีตาร์สุดหล่อคนนั้นว่า..ขอเบอร์หน่อย..มีคนสนใจและก็ชี้มาที่เรา..แต่พอพี่ชายเอามาให้เรากลับบอกว่ามือกีตาร์สุดหล่อฝากมาให้..หลังจากนั้นนะเหรอ..แม้จะมีความรู้สึกดีๆต่อกัน..ชีวิตก็ต้องดำเนินตามปรกติเพราะเค้ามีแฟนแล้ว ได้แต่มอบความรู้สึกดีๆให้กันในฐานะพี่ชายและน้องสาวที่แสนดีต่อกันเท่านั้น..จนที่ร้านปิดปรับปรุง ต่างคนก็ต่างมีทางของกันและกัน และเราก็มารับรู้ข่าวอีกที คือเค้าเลิกกับแฟนแล้วอ่ะ
เรากับพี่เค้าก็เลยได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง ได้ทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาส..ทานข้าวกันเกือบทุกอาทิตย์ ไปทำบุญตามเทศกาลต่างๆ และได้ไปเที่ยวอัมพวาด้วย ตอนนั้นมีแต่คนบอกว่า..เหมือนเป็นแฟนกันเลย..เรามีความสุขได้อยู่ประมาณ 6-7เดือนมั้งแล้วก็ต้องมาช็อคและเจ็บแบบไม่ทันตั้งตัว พี่เค้าเงียบไป 2-3อาทิตย์ และก็ประกาศมีเมีย (ใช้คำนี้เลยนะคะ) ในวันเกิดของเค้า เราทำอะไรไม่ถูก ได้แต่แสดงความยินดี และก็ต้องถอยออกมา แล้วภาพที่เห็น มันเหมือนไม่ใช่พี่เค้าเลย แต่เราก็ทำได้แค่เพียงต้องยอมรับความเป็นจริงว่านั่นคือสิ่งที่พี่เค้าเลือกอ่ะค่ะ
3 ปีผ่านไป..เราไม่เคยได้ข่าวพี่เค้าเลย fbพี่เค้าก็ไม่ได้เล่น พอถามเพื่อนๆพี่เค้า..ก็ตอบกันเป็นเสียงเดียวกันว่า..ไม่ได้ข่าวพี่เค้าเลย ติดต่อไม่ได้เลย..เราก็รู้สึกแปลกๆ และจู่ๆเราก็ฝันถึงพี่เค้า เลยตัดสินใจ เสี่ยงติดต่อไป กลับได้รับข่าวร้าย ชีวิตพี่เค้าแย่มาก เราก็ได้แต่บอกให้เค้าอดทน เพราะชีวิตคู่มันอาจมีปัญหา แต่เค้าก็ไม่ยอมบอกอะไร จนพี่เค้าทนไม่ไหว เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง..เราก็ได้แต่รับฟังและให้พี่เค้าสวดมนต์ แผ่เมตตา และทำใจให้สบาย บอกตรงๆสงสารพี่เค้ามาก แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะไม่อยากให้เค้าออกมาเพราะเรา แต่อยากให้เค้าออกมาเพราะตัวพี่เค้าเอง คำพูดที่พี่เค้าบอกเราตอนนั้น คือ เราเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เป็นคำพูดที่อาจฟังดูเชยๆ สำหรับคนทั่วไป อาจดูเว่อร์ไปสำหรับคนที่ไม่รู้ความหมาย เพราะถ้าเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น..เราก็จะไม่รู้เลย..แต่สำหรับพี่เค้า..เราเข้าใจและรู้สึกดีมาก..ที่ได้ยินแบบนั้น..และสุดท้าย พี่เค้าก็ออกมาได้จริงๆ
แล้วพี่เค้าก็ย้ายกลับไปอยู่บ้าน ซึ่งก็ไกลกันออกไปอีก แต่ก็แปลกที่ ไกลกันขนาดนั้น..แต่กลับรู้สึกดีต่อกันมากขึ้น..เราทบทวนความหลังในวันแรกเมื่อ 7 ปีที่แล้วที่เจอกัน พี่เค้าบอกว่า..เค้าเล่นกีตาร์บนเวที มันเหมือนมีแสงจากด้านล่างท่ามกลางฝูงชน เค้าบอกว่า..นั่นคือสายตาคู่หนึ่งของเรา..เราดีใจที่เราทั้งสองคนคิดถึงภาพในวันนั้นเหมือนกัน และเราก็คุยกันถึงเรื่องราวที่ดีๆหลายเรื่อง การทำบุญ การไปเที่ยว แม้ในช่วงเวลานั้นพี่เค้าจะยังไม่รู้จะทำอะไร ยังไงต่อ เราก็บอกให้พี่เค้าเริ่มจากสิ่งที่เค้ารักคือ กีตาร์ เพราะพี่เค้ามีพรสวรรค์นะ เราว่าน่าจะรุ่ง แต่เค้าบอกว่า..เด็กรุ่นใหม่เก่งๆหน้าตาดีเพียบ พี่เค้าก็เลยหันไปทำอย่างอื่นก่อน แต่เราก็ยังอยากให้พี่เค้าลอง แล้วพี่เค้าก็ได้เล่นดนตรีอีกครั้ง เริ่มเล่นจาก 1ที่ เป็น 2ที่ และเริ่มมีงานเรื่อยๆ จนเค้าเริ่มมีลู่ทางดีๆขึ้น แต่พี่เค้าก็ยังไม่หยุด หางานไม้ที่เคยทำต่ออีก จนแทบไม่มีเวลา..เราก็ภูมิใจและดีใจกับพี่เค้านะคะ..แต่ด้วยงานที่มากมาย สังคมและผู้คนที่เข้ามา..ทำให้วันนี้..เวลาที่มีให้กันมันน้อยลง จนแทบไม่มั่นใจว่า..แสงสว่างปลายอุโมงค์ที่พี่เค้าเคยบอก..มันยังเป็นเราอยู่ไหม..ชีวิตต่อไปจะเป็นเช่นไร คนพิเศษที่เค้าอยากจะมีโอกาสดูแล เค้ายังคิดแบบนั้นอยู่ไหม เมื่อก่อนเราอาจไม่คิดอะไรมาก แต่พอในวันที่เรามีปัญหา คำถามพวกนี้มันมาเต็ม บอกตรงๆ เราก็อยากมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้าง บางทีแค่ความห่วงใยที่มีให้กันทุกวันเหมือนเดิมมันก็น่าจะช่วยให้ชีวิตนี้ก้าวต่อไปได้อย่างไม่ยาก..
แต่วันนี้..สิ่งที่เราได้รับ มันเป็นเพียงแค่การรอ รอ รอ และรอ เราไม่รู้ว่า..มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา คนที่แสนดีและรู้สึกดีต่อกันเค้ายังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม..เราไม่เคยคิดจะกดดันพี่เค้านะ..แต่บางทีคนเราก็ต้องการความมั่นใจบ้าง เราจะพยายามใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะถ้าเค้าเปลี่ยนไปในทางที่ดี เราก็ต้องดีใจ และยินดีกับเค้า..เพราะเท่ากับว่า..แสงสว่างดวงนี้ได้พาเค้าถึงปลายอุโมงค์แล้ว..แม้แสงสว่างนี้จะเจิดจร้าต่อไปหรือดับลงก็ตาม..มันก็คือความสำเร็จที่เราจะมีความสุขเมื่อเค้ามีความสุข แม้ในวันนั้นความสุขของเค้าจะเป็นเราหรือไม่ก็ยังไม่รู้.. มีคนเคยบอกว่า..ชีวิตของคนเราจะมีค่าก็ต่อเมื่อในวันที่เราเห็นคุณค่าของคนที่อยู่กับเราตลอดมามากกว่า ถ้าในวันที่เรามีความสุขมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว เรากลับไม่เห็นคุณค่าของใครอีกคน บางทีก็ต้องปล่อยกันไปนะคะ เพราะเท่ากับว่านั่นคือการดูถูกคุณค่าในตัวของเองไปแล้วอ่ะค่ะ..ชีวิตมันต้องก้าวต่อไป มีความสุขกับคนที่เห็นคุณค่าในตัวของเราดีที่สุดค่ะ..
วันนี้เรายังอยู่ตรงนี้ แต่เราไม่รู้ว่า..ในวันที่พี่เค้าคิดได้ว่า..แสงสว่างดวงไหนเหมาะกับเค้า บางทีแสงสว่างดวงนี้อาจไปไกลจากเค้าแล้ว..ไม่ใช่เพราะระยะทาง ไม่ใช่เพราะแสงสว่างนี้หมดไป..แต่เป็นเพราะพี่เค้าไม่เห็นแสงสว่างนี้ในชีวิตของพี่เค้าในวันที่พี่เค้ามีความสุขเลยต่างหาก..พอวันนั้นสำหรับเราคงต้องกลับมาถามตัวเองอีกทีว่า..รู้สึกอย่างไร..จะยังเหมือนเดิมต่อไปได้หรือเปล่า?????
เรากับพี่เค้าก็เลยได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง ได้ทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาส..ทานข้าวกันเกือบทุกอาทิตย์ ไปทำบุญตามเทศกาลต่างๆ และได้ไปเที่ยวอัมพวาด้วย ตอนนั้นมีแต่คนบอกว่า..เหมือนเป็นแฟนกันเลย..เรามีความสุขได้อยู่ประมาณ 6-7เดือนมั้งแล้วก็ต้องมาช็อคและเจ็บแบบไม่ทันตั้งตัว พี่เค้าเงียบไป 2-3อาทิตย์ และก็ประกาศมีเมีย (ใช้คำนี้เลยนะคะ) ในวันเกิดของเค้า เราทำอะไรไม่ถูก ได้แต่แสดงความยินดี และก็ต้องถอยออกมา แล้วภาพที่เห็น มันเหมือนไม่ใช่พี่เค้าเลย แต่เราก็ทำได้แค่เพียงต้องยอมรับความเป็นจริงว่านั่นคือสิ่งที่พี่เค้าเลือกอ่ะค่ะ
3 ปีผ่านไป..เราไม่เคยได้ข่าวพี่เค้าเลย fbพี่เค้าก็ไม่ได้เล่น พอถามเพื่อนๆพี่เค้า..ก็ตอบกันเป็นเสียงเดียวกันว่า..ไม่ได้ข่าวพี่เค้าเลย ติดต่อไม่ได้เลย..เราก็รู้สึกแปลกๆ และจู่ๆเราก็ฝันถึงพี่เค้า เลยตัดสินใจ เสี่ยงติดต่อไป กลับได้รับข่าวร้าย ชีวิตพี่เค้าแย่มาก เราก็ได้แต่บอกให้เค้าอดทน เพราะชีวิตคู่มันอาจมีปัญหา แต่เค้าก็ไม่ยอมบอกอะไร จนพี่เค้าทนไม่ไหว เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง..เราก็ได้แต่รับฟังและให้พี่เค้าสวดมนต์ แผ่เมตตา และทำใจให้สบาย บอกตรงๆสงสารพี่เค้ามาก แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะไม่อยากให้เค้าออกมาเพราะเรา แต่อยากให้เค้าออกมาเพราะตัวพี่เค้าเอง คำพูดที่พี่เค้าบอกเราตอนนั้น คือ เราเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เป็นคำพูดที่อาจฟังดูเชยๆ สำหรับคนทั่วไป อาจดูเว่อร์ไปสำหรับคนที่ไม่รู้ความหมาย เพราะถ้าเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น..เราก็จะไม่รู้เลย..แต่สำหรับพี่เค้า..เราเข้าใจและรู้สึกดีมาก..ที่ได้ยินแบบนั้น..และสุดท้าย พี่เค้าก็ออกมาได้จริงๆ
แล้วพี่เค้าก็ย้ายกลับไปอยู่บ้าน ซึ่งก็ไกลกันออกไปอีก แต่ก็แปลกที่ ไกลกันขนาดนั้น..แต่กลับรู้สึกดีต่อกันมากขึ้น..เราทบทวนความหลังในวันแรกเมื่อ 7 ปีที่แล้วที่เจอกัน พี่เค้าบอกว่า..เค้าเล่นกีตาร์บนเวที มันเหมือนมีแสงจากด้านล่างท่ามกลางฝูงชน เค้าบอกว่า..นั่นคือสายตาคู่หนึ่งของเรา..เราดีใจที่เราทั้งสองคนคิดถึงภาพในวันนั้นเหมือนกัน และเราก็คุยกันถึงเรื่องราวที่ดีๆหลายเรื่อง การทำบุญ การไปเที่ยว แม้ในช่วงเวลานั้นพี่เค้าจะยังไม่รู้จะทำอะไร ยังไงต่อ เราก็บอกให้พี่เค้าเริ่มจากสิ่งที่เค้ารักคือ กีตาร์ เพราะพี่เค้ามีพรสวรรค์นะ เราว่าน่าจะรุ่ง แต่เค้าบอกว่า..เด็กรุ่นใหม่เก่งๆหน้าตาดีเพียบ พี่เค้าก็เลยหันไปทำอย่างอื่นก่อน แต่เราก็ยังอยากให้พี่เค้าลอง แล้วพี่เค้าก็ได้เล่นดนตรีอีกครั้ง เริ่มเล่นจาก 1ที่ เป็น 2ที่ และเริ่มมีงานเรื่อยๆ จนเค้าเริ่มมีลู่ทางดีๆขึ้น แต่พี่เค้าก็ยังไม่หยุด หางานไม้ที่เคยทำต่ออีก จนแทบไม่มีเวลา..เราก็ภูมิใจและดีใจกับพี่เค้านะคะ..แต่ด้วยงานที่มากมาย สังคมและผู้คนที่เข้ามา..ทำให้วันนี้..เวลาที่มีให้กันมันน้อยลง จนแทบไม่มั่นใจว่า..แสงสว่างปลายอุโมงค์ที่พี่เค้าเคยบอก..มันยังเป็นเราอยู่ไหม..ชีวิตต่อไปจะเป็นเช่นไร คนพิเศษที่เค้าอยากจะมีโอกาสดูแล เค้ายังคิดแบบนั้นอยู่ไหม เมื่อก่อนเราอาจไม่คิดอะไรมาก แต่พอในวันที่เรามีปัญหา คำถามพวกนี้มันมาเต็ม บอกตรงๆ เราก็อยากมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้าง บางทีแค่ความห่วงใยที่มีให้กันทุกวันเหมือนเดิมมันก็น่าจะช่วยให้ชีวิตนี้ก้าวต่อไปได้อย่างไม่ยาก..
แต่วันนี้..สิ่งที่เราได้รับ มันเป็นเพียงแค่การรอ รอ รอ และรอ เราไม่รู้ว่า..มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา คนที่แสนดีและรู้สึกดีต่อกันเค้ายังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม..เราไม่เคยคิดจะกดดันพี่เค้านะ..แต่บางทีคนเราก็ต้องการความมั่นใจบ้าง เราจะพยายามใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะถ้าเค้าเปลี่ยนไปในทางที่ดี เราก็ต้องดีใจ และยินดีกับเค้า..เพราะเท่ากับว่า..แสงสว่างดวงนี้ได้พาเค้าถึงปลายอุโมงค์แล้ว..แม้แสงสว่างนี้จะเจิดจร้าต่อไปหรือดับลงก็ตาม..มันก็คือความสำเร็จที่เราจะมีความสุขเมื่อเค้ามีความสุข แม้ในวันนั้นความสุขของเค้าจะเป็นเราหรือไม่ก็ยังไม่รู้.. มีคนเคยบอกว่า..ชีวิตของคนเราจะมีค่าก็ต่อเมื่อในวันที่เราเห็นคุณค่าของคนที่อยู่กับเราตลอดมามากกว่า ถ้าในวันที่เรามีความสุขมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว เรากลับไม่เห็นคุณค่าของใครอีกคน บางทีก็ต้องปล่อยกันไปนะคะ เพราะเท่ากับว่านั่นคือการดูถูกคุณค่าในตัวของเองไปแล้วอ่ะค่ะ..ชีวิตมันต้องก้าวต่อไป มีความสุขกับคนที่เห็นคุณค่าในตัวของเราดีที่สุดค่ะ..
วันนี้เรายังอยู่ตรงนี้ แต่เราไม่รู้ว่า..ในวันที่พี่เค้าคิดได้ว่า..แสงสว่างดวงไหนเหมาะกับเค้า บางทีแสงสว่างดวงนี้อาจไปไกลจากเค้าแล้ว..ไม่ใช่เพราะระยะทาง ไม่ใช่เพราะแสงสว่างนี้หมดไป..แต่เป็นเพราะพี่เค้าไม่เห็นแสงสว่างนี้ในชีวิตของพี่เค้าในวันที่พี่เค้ามีความสุขเลยต่างหาก..พอวันนั้นสำหรับเราคงต้องกลับมาถามตัวเองอีกทีว่า..รู้สึกอย่างไร..จะยังเหมือนเดิมต่อไปได้หรือเปล่า?????