วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

คนของกำลังใจ..ทำให้การเดินทางน่าจดจำ

ในเวลาที่เหนื่อยและท้อกับชีวิต...กำลังใจคือสิ่งสำคัญเสมอ...แต่บางที..เราเองก็ไม่เคยรู้ว่า..กำลังใจนั้นจะได้มาจากไหน...จากใคร...จากอะไร..ปัญหาต่างๆ อาจมากมาย จนเรารับมันไม่ไหว และเมื่อวันหนึ่ง..พอมีคนเข้ามารับฟัง..คอยให้คำปรึกษา..จนเราไม่รู้ว่าเค้าคือใคร..เราเรียกเค้าว่า..คนของกำลังใจ..ได้ไหม..ซึ่งตอนนี้เค้าเหมือนคนข้างๆ ที่เข้ามาเดินร่วมทางและมันทำให้การเดินทางที่เกิดขึ้นต่างๆ เหล่านี้..มันช่างน่าจดจำ..เหลือเกิน..แล้วมันเกิดขึ้นจริงใช่ไหม...จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานไหม..มันเริ่มต้นมาจากตรงไหนเหรอ?????..ชีวิตจะก้าวไปทางไหนอย่างไรต่อ..???

เริ่มต้นจากในช่วงเวลาที่เราไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น...ครั้งหนึ่งเมื่อหลังปีใหม่ 2015 ผ่านมาได้สักอาทิตย์หนึ่ง...เราได้รับข้อความว่า..."ฝันดีครับ"..ใน Inbox fb..จากผู้ชายคนหนึ่ง..ตอนตี 2 ซึ่งเรามาเห็นก็เช้าของอีกวันหนึ่งล่ะค่ะ..เราก็งงกับสิ่งที่ได้รับ...ก็ถามกลับไปว่า..ส่งผิดคนรึป่าว...เป็นอาราย ไม่สบายใจอะไรเหรอ...คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ..."ตั้งใจครับ"...ซึ่งมันก็รู้สึกดีนะคะ  และหลังจากนั้นเราก็คุยกันมาเรื่อยๆ  โดยที่แอบรู้มาว่า..เขามีแฟนแล้ว แต่ก็มีปัญหากัน..(ไม่รู้ข้อมูลจะผิดรึป่าว)..ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดอะไร...และหลังจากนั้นเราและเค้าก็คุยกันมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เรามักจะระบายหลายๆเรื่องให้เค้าฟัง ทั้งเรื่องงาน เรื่องความรัก และปัญหาต่างๆ มากมาย ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมถึงไประบายกับเค้า เคยนัดเจอกันแต่ก็ไม่เคยเจอกันสักที...เวลาผ่านไป 8 เดือน...เร็วมาก..คุยอารายกันเยอะแยะไปหมด คุยเกือบทุกเรื่อง

จู่ๆ วันหนึ่ง..เพื่อนสนิทเรามาจากภูเก็ต ต้องไปพักโรงแรมแถวเอราวัณ ซึ่งเราก็ไปหา แล้วกลับดึก เราก็ไม่อยากกลับคนเดียว เลยก็ขอให้เค้าแวะมารับกลับบ้าน เพราะว่าเค้าทำงานอยู่ใกล้ๆ แถวชิดลม และกลับบ้านทางเดียวกัน..เหมือนเราเจอกันครั้งแรก ซึ่งก็ไม่มีอะไร คุยเล่นถึงเรื่องเก่าๆ ว่าทำไมเราไม่เคยเจอกันเลย ทั้งๆที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เที่ยวด้วยกัน ทั้งๆ ที่จะมีคนแนะนำให้รู้จัก ก็ไม่มีโอกาสเจอ แต่นี่ก็เหมือนมาคุยกันซะงั้น แล้วเค้าก็ขับรถไปส่งบ้าน นี่คือครั้งแรกที่เจอกัน..ทุกอย่างผ่านไปเร็วมาก หลังจากนั้นก็เริ่มมีโอกาสได้เจอกันมากขึ้น จากครั้งแรกที่เจอกัน..นี่ก็ 5 เดือนพอดี  หลังจากนั้นที่เจอก็เริ่มจากทริปอยากเที่ยวช่วงอากาศหนาว..วางแผนไว้..เค้าไม่อยากให้เราไปคนเดียว...แต่ที่ได้เจอครั้งต่อมานี่คือได้ตั๋วหนังฟรีมา ก็เลยชวนกันไปดูหนัง ไปกินข้าว เพราะเราไม่ได้ดูหนังนานมาก  หลังจากนั้นก็มีเที่ยวกลางคืน และมีตั๋วฟรีมาอีกล่ะ..ไปดูคอนเสิร์ตต่างจังหวัดกัน ทริป 1 วัน 1 คืน (แบบไม่ค้างคืน แต่นอนบนรถทัวร์)  และครั้งนี้ก็ทำให้รู้สึกว่า..มันแปลกๆ มีสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น และเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่มันทำให้มีโอกาสเจอกันมากขึ้น และได้จัดทริปไปเชียงคาน เมืองที่เราอยากไปมานานล่ะ แต่เค้าไม่ให้ไปคนเดียว เค้าจะไปด้วย..แต่งานนี้กว่าจะได้ไปก็เตรียมตัวกันยาวอ่ะค่ะ

แต่ก่อนไปเชียงคาน..มันผ่านช่วงวันเกิดเราและวาเลนไทน์ ซึ่งก็ไม่ได้คิดอะไร ได้รับคำอวยพรน่ารักตามปรกติ แต่สิ่งที่ไม่คาดว่าจะได้รับคือ เค้าชวนไปดูหนังหลังวาเลนไทน์ และให้ของขวัญวันเกิดที่น่ารักอีกด้วย..ทำให้เรารู้สึกดีมากขึ้น..แต่เราก็ไม่มีโอกาสได้ถามความรู้สึกใดๆ รอไว้ไปจัดการทุกอย่างที่เชียงคานล่ะกานนะคะ

และแล้วทริปเชียงคานก็เกิดขึ้น..เรื่องราวตื่นเต้นกันตั้งแต่ขึ้นเครื่องกันเลยทีเดียว..ทุกอย่างไม่มีแพลนอ่ะ..จองตั๋วเครื่องบิน และที่พัก ที่เหลือไปแบบชิลล์...และพอไปถึงมันก็ชิลล์จริงๆๆนะคะ ด้วย บรรยากาศของเมือง บรรยากาศริมน้ำโขง ที่พัก และอากาศดีด้วย ถือว่าโชคดีที่อกาศยังเย็นอยู่เลยล่ะ วันแรกเราก็ไม่ค่อยได้ไปไหนไกล เดินเล่นในเมืองเชียงคาน พักผ่อน เที่ยวถนนคนเดินเชียงคาน เก็บบรรยากาศริมน้ำโขง แบบว่าเดินกันไปมาหลายรอบมาก..และหาข้อมูลเที่ยววันต่อวัน..ก็สนุกไปอีกแบบ และพอวันที่สองนี่สิ...เที่ยวกันตั้งแต่เช้ามืด ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก ไหว้พระธาตุรอยพระพุทธบาท ชมวิวเมืองเชียงคาน เที่ยวแก่งคุดคู้ ปล่อยปลาลงแม่น้ำโขง และเก็บสตอเบอร์รี่จากต้น..แบบว่าตะลอนเที่ยว ตะลอนกิน จนเกือบทั่ว ไม่ว่าจะนั่งรถสกายแลป (รถตุ๊ก-ตุ๊กที่เชียงคาน) รวมถึงการขี่จักรยานเที่ยวซะหลายๆรอบ เค้าปั่นเราซ้อนอ่ะ แล้วจบด้วยถนนคนเดินอีกรอบ และก็มีโอกาสได้เจอเพื่อนเค้าที่นั่น เลยนั่งคุยกันแบบชิลล์กันจนดึก เชียงคานเป็นเมืองที่เงียบสงบและปลอดภัยมาก เป็นความรู้สึกที่เหมือนมีแค่เราสองคนจริงๆ ก็เดินเล่นกันอยู่สองคนในเวลาหลังเที่ยงคืนอ่ะ..แบบว่าไม่อยากให้ถึงวันกลับเลยอ่ะ และพอเช้าวันกลับก็ได้ใส่บาตรข้าวเหนียวด้วยกัน และก็ขี่จักรยานเที่ยว เก็บตกร้านต่างๆ ในเชียงคาน นั่งชิลล์ตามร้านต่างๆ แล้วก็ต้องกลับมาสู่โลกแห่งความวุ่นวาย...

ขอบคุณการเดินทางที่แสนพิเศษ..มันน่าจดจำมากมาย..โดยเฉพาะการที่เรามีใครสักคนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะเวลาไหน..มันก็ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัยและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แต่พอถึงเวลาที่จะต้องแยกกันกลับบ้านนี่สิ..ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย..แต่เราก็ไม่รู้ว่าเรารู้สึกไปคนเดียวรึป่าวนะคะ..รู้แต่ว่า..เวลาทั้ง 3 วัน 2 คืนที่ผ่านมา..คนข้างๆ ที่อยู่ตรงนั้นมีความหมายมาก มือที่จับกัน..มันอุ่นเสมอ จนเราไม่อยากปล่อยมือจากเค้าเลย และเราก็คิดว่าเค้าก็พยายามทำให้เรารู้สึกดีอย่างนั้นเช่นกาน ขอบคุณที่ทำให้ฝันของผู้หญิงคนนี้เป็นจริง ได้เที่ยวเมืองในฝัน ขอบคุณการเดินทางร่วมกัน การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน และการดูแลกันและกันตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน..ขอบคุณที่เป็นคนของกำลังใจที่สำคัญ..ขอบคุณสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น ..ขอบคุณจริงๆๆ นะคะ


แต่แล้วทุกอย่างมันก็เหมือนความฝัน..ที่ต้องตื่นมาเจอกับความเป็นจริง..เมื่อเค้ายังไม่มีความชัดเจนใดๆ ให้กับเรา และคนของเค้าก็เหมือนยังอยู่...ชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร...การเดินทางครั้งต่อไป..จะเกิดขึ้นอย่างที่เค้าบอกว่า..มันไม่ใช่ทริปสุดท้ายหรือเปล่า..บางที..ตอนนี้เราอาจต้องถอยกลับมาคิดทบทวนกันใหม่อีกครั้ง...ว่า..เรากำลังทำสิ่งที่ผิด หรือ กำลังจะทำให้มันถูกต้อง เพราะชีวิตมันมีการเดินทางเสมอ ..เพียงแต่ว่า...ใครจะมาเป็นคนข้างๆ ที่สร้างความทรงจำที่ดี..ให้น่าจดจำ..ก็เท่านั้นเองค่ะ