วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คนของกำลังใจ..กับโปรเจ็คง้อ @บางกะเจ้า

ในวันที่คนสองคนมีปัญหาไม่เข้าใจกัน..ทำให้เราต้องห่างกัน..ไม่ได้คุยกัน..แต่เมื่อในความห่างนั้น..ทำให้เราสองคน..รู้สึกแปลกๆ ที่จู่ๆ คนเคยคุยกันทุกวัน ถามไถ่ชีวิตในแต่ละวันกัน...ต้องหายไป โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนอีกคนหนึ่ง

และเมื่อคนๆ หนึ่งยอมที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา และรู้ว่ามีคนงอนและเงียบหายไป..คนอีกคนก็ต้องลดทิฐิและยอมบอกเรื่องราวที่ทำให้เกิดปัญหา  โดยเราต้องเปิดใจคุยกันและรับฟังในสิ่งที่เกิดขึ้น  และเมื่อคนๆ นั้น เค้ารู้ตัวว่า..เค้าทำให้เรางอน  การอภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในการอภัยนั้น ต้องมีวิธีการเพื่อให้เค้าจดจำแล้วมันต้องไม่เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นอีก  ไม่ใช่ง้อด้วยคำว่า "ขอโทษ" แล้วก็จบ

เพราะไม่อย่างนั้นการให้อภัย ก็คงไม่มีความหมายอะไร เพราะเราต้องทำให้เค้ารับรู้ถึงปัญหาที่เกิดแล้วแก้ไขเรื่องนั้นๆ แล้วต้องง้ออย่างไรนะเหรอ ก็ในเมื่อเค้าทำเรื่องไหนให้เป็นปัญหา เค้าก็ต้องแก้ไขในจุดนั้น ดังนั้น "โปรเจ็คง้อ" จึงเกิดขึ้น

ปัญหามันมีอยู่ว่า..เค้าคนนั้นทำงานจนไม่มีเวลา..พอมีเวลา..มีวันหยุด..เค้าก็ใช้ไปกับเรื่องราวของตัวเอง..จนลืมว่า..มีคนอีกคนที่เค้าควรใส่ใจบ้าง และยิ่งในวันที่มีปัญหา ผู้หญิงทุกคน..ต้องการคนข้างๆ ที่สุด..บางทีขอแค่ชั่วโมงเดียว หรือนาทีเดียว..เพื่ออยู่กับเธอ...ทุกอย่างก็จะดีขึ้น  แต่คุณผู้ชายกลับไม่คิดอย่างนั้น..ผู้ชายมักคิดว่า..ก็รับรู้ปัญหาและให้กำลังใจแล้วนิ..เธอคงอยากอยู่คนเดียว..แต่นั่นคือเชื้อเพลิงดีๆ เลยล่ะค่ะ...เพราะเธอจะคิดอะไรต่างๆ นานามากมากมาย โดยที่คุณผู้ชายก็ไม่รู้เลย

โปรเจ็ค "ง้อ" มันจะเกิดขึ้นอย่างไรนะเหรอ...ก็ในเมื่อไม่มีเวลา ก็ต้องหาเวลา พาเราไปในที่ๆ เราอยากไปสิค่ะ  โดยต้องรู้ว่า เราอยากไปไหน..และจัดการทั้งหมดด้วย.. เค้ารู้ว่าเราอยากไปบางกะเจ้า และเค้าต้องนำทางและจัดการทุกอย่าง เรามีหน้าที่ไปสัมผัสให้ได้ถึงการง้อในครั้งนี้  แต่ก็นั่นแหล่ะ..การจัดการของผุ้ชาย อาจไม่มีอะไรเลิศหรู แต่เราก็แค่ความตั้งใจก็พอ เพราะจริงๆ แค่เค้ารู้ว่าจะง้อยังไง เราอยากไปที่ไหน ยอมพาเราไป ให้เราทำในสิ่งที่เราอยากทำ...เท่านี้มันก็มีค่าพอสำหรับการให้อภัยแล้วล่ะค่ะ

และแล้วโปรเจ็คง้อ...ก็เริ่มเมื่อปลาย พ.ค.ที่ผ่านมานี้ เราเดินทางไปบางกะเจ้า เพื่อไปรับโอโซน ปั่นจักรยาน ซึ่งมันอาจไม่ได้โรแมนติกอะไร แต่มันเป็นสถานที่ที่เราจะได้สร้างความทรงจำดีๆ ใหม่ๆ ร่วมกันต่างหาก...เริ่มด้วยเค้ามารับเราที่บ้าน แล้วก็เอารถไปจอดที่ทำงานเค้า แล้วก็นั่งรถไปที่วัดคลองเตยนอก เพื่อขึ้นเรือ ซึ่งเป็นเรือเพื่อข้ามฟากไปอีกฝั่ง  เราไม่เคยนั่งเรือหางยาวลำเล็กอย่างนี้ เราไปกันสองคน เรานั่งข้างหน้า เค้านั่งข้างหลัง..ก็รู้สึกอบอุ่นอีกแบบ และชิลล์มากมายกับการนั่งเรือแบบนี้ข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา และพอไปฝั่งเราก็เลือกที่จะปั่นจักรยานคนละคัน เพราะคิดว่าเส้นทางมันไม่น่าไกลมาก ทั้งๆ ที่เราไม่ปั่นนานมากถึงมารกที่สุด แต่เราก็จะลองดู

การปั่นจักรยานอีกครั้งในชีวิตก็เริ่มขึ้น เค้าให้เราปั่นนำหน้า เค้าปั่นตามหลัง ซึ่งก็จะมีเสียงมาเป็นระยะว่า..ระวังรถครับ อย่าปั่นกลางถนน ปั่นชิดริมหน่อย อย่าเบรคเวลาขึ้นเนิน..ซึ่งมันก็รู้สึกดีนะคะ แต่ไม่รู้ว่าเค้าแอบรำคาญรึป่าว  เพราะเราก็นำแบบหลงๆๆ ตลอดๆๆ ไปหลายที่ เริ่มจากตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ไปหม่ำก๋วยเตี๋ยวเรือ และเดินเล่นกัน  และก็ตั้งใจจะไปบ้านธูปสมุนไพร กับบ้านผ้ามัดย้อม ก็หลงทาง เลยไปที่ Bangkok Tree House ก่อนเส้นทางอย่างแคบ ต้องอาศัยการทรงตัวเป็นอย่างมาก เราก็พักดื่มกาแฟและทานขนมกัน ตากแอร์ ถ่ายรูปกันที่นั่น และออกมาเพื่อจะไปบ้านผ้ามัดย้อมให้ได้ แต่ก็เลยทางเข้าอีก งั้นก็ไว้โอกาสหน้า เราเลยไปพิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย และสวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์

การท่องเที่ยวในครั้งนี้ เรามองว่ามันเหมือนการเดินทางบนเส้นทางชีวิต ที่เราอยากบอกว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรสวยงาม ไม่เรียบง่าย อาจมีอุปสรรค เจอทางที่ไม่สะดวกสบาย เหนื่อยล้าก็พัก เมื่อยกับการปั่น เจ็บตัวบ้าง หลงทางบ้าง และระหว่างทางมันก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย..แต่เราก็จะถึงจุดหมายปลายทาง  และในเส้นทางทุกเส้นทาง..ถ้าเราเดินทางเพียงลำพัง ถ้าเราเหนื่อย เราท้อ เราอาจหยุดหันหลังกลับแล้วไม่ไปต่อ....แต่พอเรามีคนอีกคนหนึ่งร่วมเดินทางไปด้วยกัน มันกลับทำให้เรารู้สึกว่า เรามีคนอีกคนรอเราอยู่ เรามีคนของกำลังใจ ซึ่งเป็นคนที่ทำให้เส้นทางการเดินทางนี้สวยงามและมีความหมายมากขึ้น เค้าคอยอยู่ข้างหลัง และอยู่ข้างๆ เราที่พอเราหันไปเห็นความพยายาม ความอดทน ที่ไม่ว่าเค้าจะร้อน จะเหนื่อย จะเมื่อย จะต้องคอยปั่นจักรยานตาม คอยบอกทาง หลงไปด้วยกัน ที่สำคัญไม่ทิ้งเราในช่วงเวลาที่เราล้า และส่งเรากลับบบ้านอย่างปลอดภัย...เท่านี้..เราก็มีความสุขแล้วล่ะค่ะ

จริงๆๆ ก็มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น คือตอนขากลับ เราปั่นจนขาล้า ก็เลยให้เค้าปั่นนำไปก่อน ซึ่งเค้าก็คงชิลล์ แต่พอเค้าหันมาเห็นเราอยู่ไกลๆ เค้าก็ปั่นวนกลับมาหา แล้วให้เราปั่นนำหน้าเหมือนทุกครั้ง ทั้งๆ ที่นั่นคือใกล้จะถึงท่าเรือ ซึ่งยังไงก็ไม่หลงหรอก แต่เค้าก็ทำแบบนั้น..เค้าก็ไม่ทิ้งเรา ทำให้เรารู้สึกว่า..มันเป็นการมาที่คุ้มค่าอีกอย่างหนึ่งนะ

เราไม่รู้หรอกว่า..เราจะรู้สึกดีไปคนเดียวรึป่าว เราไม่รู้ว่าความรู้สึกในวันนี้มันคืออะไร  เรารู้แต่เพียง..เค้าคือคนของกำลังใจที่ทำให้การให้อภัยในครั้งนี้มีค่าและมีความหมายมากมายแล้วล่ะค่ะ...ทั้งๆ ที่จริงๆ การง้อในครั้งนี้..มันผ่านตั้งแต่..เค้ารู้ว่าเราอยากไปที่ไหน และบอกเราว่า..ไม่คิดว่าเราจะเงียบหายไปนานขนาดนี้..นั่นมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าช่วงเวลาที่เราหายไป..เค้าคงยังคิดถึง และเราน่าจะมีความหมายกับเค้าอยู่บ้าง..และสำหรับวันนี้...เค้าก็เป็นคนของกำลังใจที่อยู่ในความาทรงจำดีๆ ในวันนี้ไปแล้วล่ะค่ะ และที่สำคัญมันทำให้เรารู้ว่า การมีคนข้างๆ มาร่วมสร้างความทรงจำนั้นมันดีแค่ไหน ทริปนี้อาจทั้งเหนื่อย ทั้งลำบาก แต่มันก็ทำให้เราผ่านมันมาได้..ความสวยงามของของการเดินทางที่มีคนของกำลังใจมันทำให้ชีวิตเรามีความหมายมากขึ้น และเราอยากให้มันมีสิ่งดีๆ ที่เราร่วมกันสร้าง และเดินทางไปด้วยกันอย่างนี้ตลอดไปจัง..ขอบคุณอีกครั้งนะคะ...คนของกำลังใจ^_^



*********************************************************************