วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มิตรภาพกับทริปความผูกพัน

      เมื่อถึงวันที่เราสามคนจากเคยไกลกันก็กลับมาอยู่ที่เดียวกันแล้ว เพื่อนรักทั้งสาม จากเกาหลี และอเมริกา กลับมาอยู่เมืองไทย ได้เจอกานที่กรุงเทพฯ แต่ก็มีบางอย่างทำให้เพื่อนรักต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ภูเก็ต ทำให้เราก็นานๆจะเจอกานอีก เลยจัดทริปสร้างความสนุกสนาน ชะอำ-หัวหิน ซึ่งเป็นช่วงวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาพอดี  เลยต้องมาดูกานว่าทริปนี้จะเป็นอย่างไร

      เราเริ่มต้นด้วยการไปทำบุญถวายสังฆทานที่จัดเอง พร้อมเทียนพรรษา และหลอดไฟ 2 แพ็คกับครอบครัว ก่อนออกเดินทางไปเที่้ยวในครั้ืงนี้ ..เราไปกับเพื่อนซึ่งสามีเป็นชาวเกาหลี พร้อมลูกชายที่น่ารักอีกหนึ่ง  ขับรถกันไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงโรงแรมก็ได้เวลา เช็คอิน... และพักผ่อนรอเพื่อนอีกคนที่ขึ้นมาจากภูเก็ต พร้อมแฟน กว่าจะถึงเกือบเย็น โปรแกรมที่วางไว้ก็ต้องเปลี่ยน โดยเริ่มไปที่ตลาดน้ำหัวหิน เดินเล่น กินโน่นนี่นั่นไปเรื่อย พาหลานไปดูแกะ ให้อาหารแกะ ครอบครัวนั้นเขาก็ถีบจักรยานน้ำชมตลาดน้ำมีความสุขกันไป เราก็คอยเก็บภาพประทับใจกันไป ส่วนอีกคู่ก็จะมีความสุขกับการดูโน่นนี่และทานไอศกรีมกันไป พวกเราเริ่มที่ไอศกรีมเกร็ดหิมะ ต่อด้วยไอศกรีมไข่ รสชาตต่างๆ ที่ต้องดูดตลอดเวลา และต่อด้วยไอศกรีมเมี่ยงคำ ไอศกรมส้มตำ...ทานกันไปแบบไม่ต้องกลัวหนาว แล้วก็ถึงเวลาทานของหนักก็ต้องไปเจ๊เขียว เขาตะเกียบ เขามีชื่อ แต่คนเยอะมว๊ากกก แต่เราก็ได้ทั้งที่จอดและโต๊ะ..555  แต่อาหารช้าและมีการลืมเมนู สำคัญไข่เจียวปู รอกันจนอิ่มอ่ะ  หลังจากนั้กะว่าจะไป Night Market แต่ไม่มีที่จอด คนก็เยอะ เราก็เลยมาเดินเล่นย่อยอาหารที่ เพลินวาน ระลึกความหลัง สบายเรายังเป็นเด็กกันไป แอบเจอหนุ่มหล่อเจ้าของร้านในเพลินวาน ยิ้มใหัพร้อมการพูดคุย ด้วยอัธยาศัยดี น่ารักจริงๆ แต่ก็แค่นั้น..555 แล้วออกมาก็มาเลือกซื้อเสื้อยืดเป็นของฝากกันไป พอไปที่จอดรถ เอออ..มีหนุ่มเดินผ่านแล้วยิ้มให้...อุ๊ย! หนุ่มเจ้าของร้านคนนั้น แต่มีผู้หญิงเดินมาด้วย แล้วยังจะมายิ้มให้อีก..เชอะๆๆ เซรงงงจริง แล้วพวกเราก็กลับเข้าที่พักคือ Cera Resort Cha-am พักผ่อนตามอัธยาศัย เพราะเหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวันแล้นนน


      วันที่ 2 เราก็ตื่นมาถ่ายรูป และก็หม่ำอาหารเช้าที่ดูสด ใหม่ สะอาด และอร่อยด้วยของทางโรงแรมนั่นแหล่ะ  แล้วออกเดินไปเที่ยวที่ SANTORINI PARK  สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ของชะอำ มีเครื่องเล่นต่างๆ รวมไปถึงร้านค้าแบรนด์เนมต่างๆ ให้ช็อปิ้ง และจุดถ่ายภาพน่ารักๆ แต่พวกเราต้องตามใจลูกชายสุดที่รักของพวกเราโดยการพาไปนั่งชิงช้าสวรรค์ (ภาษาของเด็ก) แต่เป็นกระเช้าลอยฟ้าสูงมว๊าก เห็นวิวโดยรอบ  และลงมาถ่ายภาพเล่นกันฆ่าเวลาให้ลูกชายขี่ยีราฟไปรอบๆๆ และเล็งๆลุ้นๆที่จะขึ้น G-MAX GIANT SWING ซึ่งดูแล้วน่ากลัว แต่เพื่อเพื่อนรักเราก็เลยเล่นก็เล่น สมาชิกที่ร่วมชะตาเล่นกัน 3 คน มีเรา เพื่อนที่มาจากภูเก็ต และสามีเพื่อนที่เป็นเกาหลี มันเป็นเครื่องเล่นที่มีเก้าอี้โล่งอยู่ 5 ตัว ไม่มีที่จับใดๆ นั่งแล้วถูกดึงแบบถอยหลังขึ้นไปเรื่อยๆ จนสูงที่สุดน่าจะประมาณ 12 เมตร แล้วให้หายใจลึกประมาณ 1 เสี้ยววินาที แล้วเหมือนผลักเราออกจากเก้าอี้ ตัวและใจมันหลุดไปพร้อมๆกัน แบบลืมตาตลอดไม่ได้สุดท้ายก็ต้องหลับตาด้วยความกลัว แล้วก็รู้สึกว่าปลอดภัยถึงลืมตาได้ เสมือนคนตกเหวแล้วมีเชือกช่วยชีวิตไว้เลย รู้สึกว่า..ต่อไปนี้เราจะไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เหมือนเสี่ยงตายมาแล้วอ่ะ..555 สนุก ตื่นเต้นมว๊ากกกก แต่ขอแค่ครั้งเดียวนะ..มะไหวจะลุ้นอ่ะ


แล้วเราก็ไปเดินเล่นกันอีกนินุง คนเริ่มเยอะ เที่ยงพอดีเลยออกไปหาอะไรทานกันข้างนอก ตอนแรกกะทานที่ร้านป้าสังเวียน ชะอำ แต่มัวคุยเลยทางเข้า ก็มาทานที่หัวหิน ร้านอยู่เย็น อาหารอร่อย อาหารเร็วดี ไม่ผิดหวัง และหลังจากนั้น ก็ไปรับแอร์เย็นๆ ที่ Villa Market กันสักนิด แล้วค่อยกลับมาพักที่โรงแรม อาบน้ำ นอนเล่น หรือว่ายน้ำในสระกันไป พอตอนเย็นก็ค่อยออกไปทานข้าว แต่โรงแรมไฟดับ ทำให้เป็นแรงกระตุ้นให้ทุกคนต้องรีบออกไปข้างนอก ทางโรงแรมแนะนำให้ไปทานที่ร้านบ้านอิสระ แต่พอไปถึงคนเยอะมว๊าก มันทำให้ต้องเปลี่ยนมาเป็น Sha-bu และปิ้ง ย่าง ฝั่งตรงกันไป ก็ได้บรรยากาศอีกแบบ และหลังจากนั้นเราก็ไปเดินย่อยกันที่ CICADA ซึ่งเป็นตลาดศิลปะ มีของ handmade ต่างๆ และก็มีขนมให้เราทานเล่น ชมบรรยากาศ ก่อนที่จะกลับไปพักที่โรงแรม..พักผ่อนตามอัธยาศัย
         เช้าวันที่สามนี้ ไฟดับแต่เช้า ทำให้ไม่ค่อยอยากตื่น  แถมยังไปป่วนคนที่กทม.ให้ตื่นกะเราด้วย..555 แต่ก็ต้องรีบตื่นมาทานอาหารเช้า กลัวคนจะเยอะ เพราะห้องพักเต็ม ซึ่งก็จริงๆ...ทานอาหารเสร็จ พวกเราก็เอากระเป๋าลงมาเพื่อรอ Check out และถึงเวลาต้องแยกย้าย รู้สึกใจหาย เรากอดกันแบบไม่อยากให้ถึงเวลาและความรู้สึกแบบนี้ แต่ทุกคนก็มีหน้าที่ และทุกคนก็รู้ว่า เราต้องมาเจอกันใหม่ ในระยะเวลาอันใกล้นี้...เน้อะ..เจ้าลูกชาย..ผู้ชายตาสระอิ ที่รักสุดๆๆ
     
            การไปเที่ยวในครั้งนี้ทำให้เราได้เห็นภาพครอบครัวที่น่ารัก อบอุ่นของเพื่อน  ดีใจที่เพื่อนรักมีสามีที่ดี และลูกชายที่น่ารักมาก ส่วนอีกคนก็มีแฟนที่เขารู้สึกดีๆต่อกันและกำลังจะมีข่าวดีในไม่ช้านี้ ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นการเที่ยวและพักผ่อนอย่างปลื้มใจ และอีกอย่างที่เราอยากบอกว่า ทั้งสองคนคือ เพื่อนแท้ เพื่อนตาย ที่เรารู้สึกว่าเราดีใจที่เรามีเพื่อนอย่างนี้ ความรัก ความผูกพัน ความเข้าใจมันหล่อหลอมมิตรภาพที่ดีที่สุดในชีวิตของเราให้เกิดขึ้น ขอบคุณจริงๆนะ...My Best Friends .....ขอให้มิตรภาพที่ดีเหล่านี้อยู่กับพวกเราไปตราบนานเท่านานนะคะ..รักแกสองคนที่สุดเลย^_^

 

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บททดสอบชีวิต..ที่ต้องกอดตัวเองให้อุ่น

จากวันที่เรารู้สึกดีที่โชคดีคิดว่าเจอคนที่ดีที่เข้าใจ เค้าพร้อมที่จะเข้ามาเติมเต็มหลายๆอย่างที่ขาดหาย เค้าดีจนเราคิดว่ายังมีคนดีๆแบบนี้เหลืออีกเหรอ และแล้ววันนี้เค้าก็ทำให้เรารู้ว่าคนดีนั้นไม่มีอยู่จริง...เค้าทำให้เราเจ็บแบบเหมือนโดนน็อกอ่ะ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้งัยนะเหรอ...ก็เพราะความไว้ใจ เชื่อใจ และพยายามเข้าใจ...เราคิดว่าคนที่เคยเจอเรื่องราวร้ายๆมักไม่ทำร้ายกัน คนดีๆก็ต้องไม่ทำอะไรร้ายๆ แล้วสุดท้ายคืออะไร???
เราสองคนอาจทำแต่งาน สร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น คิดว่าความเชื่อใจ ใส่ใจในความรู้สึก มันไม่ใช่เรื่องของความห่างหรือระยะทาง เพราะสถานการณ์น้ำท่วมเราก็ผ่านมันมาแล้ว แต่ใครจะรู้ล่ะค่ะ...ว่าในช่วงแรกมันก็ใช่เลย...เราสร้างความรู้สึกดีๆให้แก่กัน จากที่เราไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย เราก็เปิดใจให้เค้าเข้ามาเติมเต็มความรู้สึก จนลืมมองว่า เค้าอาจเป็นเหมือนใครต่อใครที่ผ่านเข้ามาก็ได้นะ ความกลัวในหลายอย่างหายไป เราเป็นคนที่กล้าที่จะทำงานอย่างหนักเพื่อที่บ้าน เพราะเรามีเค้าSupport ความรู้สึกเสมอ แต่เราก็ลืมไปว่าผู้ชายเค้าคงอยากได้คนที่มาดูแลเค้ามากกว่า แต่เราก็ไม่ได้นิ่งเฉย เราก็พยายามถามไถ่ นัดเจอ หรือมีของขวัญเตรียมไว้ให้ แต่แล้วเค้าก็ไม่มีเวลา พอเค้าเริ่มมีเวลา...เราก็เริ่มไม่มีเวลา แต่เราก็รู้สึกได้นะว่าทำไมจะไม่มีเวลา แต่ไม่หาเวลาให้กันต่างหาก ใส่ใจและให้ความสำคัญกันบ้างสิ เราพยายามสังเกตความเปลี่ยนแปลง แต่เราก็ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะด้วยคำพูดของเค้าที่บอกเราว่า..ไม่มีอารายนะ... เราคิดที่จะซื้อบัตรคอนเสิร์ตให้ แต่เค้าก็มีแล้ว เราก็เหมือนโดนดุ..ไม่คุย ไม่รับสาย และสิ่งที่ฟ้องว่าเค้าเปลี่ยนไป..คือการไม่ใส่ใจในวันเกิดของเรา..มีแค่คำว่า Hbd na...เท่านั้น เราไม่เคยหวังของขวัญ ขอแค่เวลาสัก 1 นาทีกับการมาหาหรือได้ยินเสียงมันคงมากไป...เราก็ไม่อยากคิดมาก เพราะแค่งานที่ทำประจำ กับงานที่เราต้องเรียนรู้เพื่อที่บ้านเพิ่มก็เหนื่อยและหนัก จนไม่มีเวลาจะพักแล้ว ถ้าคนที่เคยเข้าใจ เคยผ่านวิกฤต เคยรับรู้ความเจ็บปวด และคิดว่าต่างคนต่างเพียบพร้อม ต่างต้องการอะไร เราก็จะไม่ทำร้ายหรือโกหกกัน ทำให้เราเชื่อว่ารักแท้มีอยู่จริง เราต้องโชคดีสิ เพราะเราไม่เคยคิดทำร้ายใคร แต่แล้วทฤษฎีหลายๆอย่างก็สอนเราว่า...เมื่อเราเจอคนที่ดี...เราก็อย่าไปคิดว่าเค้าดีอย่างที่คิด...เมื่อเริ่มต้นอะไรก็จะดูดีไปหมด ผุ้ชายมักเริ่มจาก 100 แล้วค่อยๆลดลง ผู้หญิงเราเริ่มต้นจากศูนย์แล้วมันก็ขยับไปจนถึง 100...ระยะทาง ระยะห่าง...มันทำให้กว้างขึ้น เพราะขาดความใส่ใจ...การไม่คุยกันไม่สามารถทำให้เราเข้าใจกันได้ในทุกๆเรื่อง...อย่าบอกอะไรเค้าซะทั้งหมด...เพราะเค้าอาจไม่ได้อยากรู้อะไรเลยก็ได้....OK ค่ะ...วันนี้เค้าคนนั้น...ผู้ชายที่แสนดี...คนดีที่เราเรียกเค้าจนติดปาก...เค้าทำร้ายเราด้วยภาพเค้าและผู้หญิงอีกคน เค้าทำลายความไว้ใจ ซึ่งมันคงไม่แปลกที่เค้าทำแบบนี้ เพราะเค้าคงไม่กล้าที่จะพูดอะไรกับเรา...ผู้ชายมักไม่กล้าพูดในสิ่งที่ตนทำผิด หรือไม่กล้าพอที่บอกว่าตัวเองเปลี่ยนไป แต่กล้าพอที่จะทำร้ายจิตใจด้วยภาพและการแสดงออกว่าตัวเองเปลี่ยนใจไปกับคนอื่นแล้ว...เค้าเคยรู้ไหมว่า ผู้หญิงคือคนที่เข้าใจอะไรง่ายๆ แต่ผู้ชายมักไม่ทำให้มันง่าย สร้างความผูกพันแล้วทำลายความไว้ใจด้วยตัวคุณเอง แล้วอย่างนี้เหรอที่เรียกว่า รักใครรักจริง...คุณเคยถามตัวเองกันบ้างไหมว่า...ทำไมต้องมีคำถามมากมายกับความรัก แล้วพอเจอคำตอบที่ว่า การมีใครสักคนที่ดีพร้อม มันจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด แต่จริงๆ มันขึ้นอยู่ที่ว่าเราพร้อมที่จะรักคนที่รักเรารึป่าวต่างหาก...เพราะต่อให้คุณบอกเค้าว่าดีพร้อม แต่กับไม่พร้อมที่จะรักเค้า...มันก็ไม่ใช่คำตอบอยู่ดี...ชีวิตคนเรามันไม่ได้เริ่มต้นจากคนหนึ่ง...พบเจอคนอีกหนึ่งที่ใช่...แล้วลงเองด้วยการแต่งงาน...แต่มันยังมีอะไรอีกมากมายระหว่างที่ต้องเรียนรู้...ถ้าการเริ่มต้นมันทำร้ายและทำลายความไว้ใจ ความเชื่อใจ ต่อให้เคยเข้าใจ...มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร จะมีก็แต่ความเสียใจ...แล้วเราก็ต้องปล่อยเค้าไป...เพราะเค้าอาจไม่ใช่คนที่พร้อมจะดี...อย่างที่เค้าพูด หรืออย่างที่เราคิด...ไม่ต้องการคนที่ดีพอ..ต้องการแค่คนที่พอดี...ไม่ต้องการคนที่ดีพร้อม ขอแค่คนที่พร้อมจะดี...และนี่ก็คืออีกหนึ่งบททดสอบของชีวิต...ที่วันนี้เราเหนื่อยเหลือเกิน....
ในวันที่เราเหนื่อยอย่างนี้ แต่ก็ไม่ท้อค่ะ เพราะมีคนเคยบอกว่า ท้อได้แต่อย่าถอย..และเราก็เชื่อว่ารักแท้มีจริง เราจะขอแค่มีใครสักคนมาบอกว่า...เค้าพร้อมที่จะเดินกับเรา...เราจะสู้ไปด้วยกัน...เค้าจะดูแลเราเอง..แค่นี้อยู่กับเค้าเราก็คงจะเข้มแข็งได้เอง...ใช่ป่ะค่ะ...เรียนรู้ความสุขด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนที่เรารักล่ะกันนะ...ขอบคุณตัวเองที่กอดตัวเองให้อุ่นได้ในวันนี้..ขอบคุณค่ะ^_^