วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ถนนสีชมพูกับพลุวันพ่อ

วันที่ 5 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันพ่อแห่งชาติ ปีนี้เราก็ได้แค่กราบพ่อเท่านั้น ไม่ได้ซื้อพวงมาลัยมาให้ท่าน และเราก็ได้พาคุณแม่และน้องสาวไปดูไฟที่ถนนราชดำเนิน ก็น้องชายเราไปทำงานเป็นพิธีกรของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมี Booth แถวแยกคอกวัวและคุณแม่ก็เลยอยากให้เราไปเป็นเพื่อน แต่ต้องไปกันตั้งแต่บ่าย 3 โมง เพราะไม่งั้นจะเข้าไม่ได้ จะมีการปิดถนน ไปถึงก็ไม่มีอะไรทำ ก็เลยถือโอกาสพาคุณแม่และน้องไปไหว้ศาลหลักเมือง ขอพรศาลหลักเมือ และเทวดาทั้ง 5 สิ่งศักดิ์เพื่อคุ้มครองเราและครอบครัวให้มีความสุขกันตลอดไป และเดินเล่นแถวสนามหลวง และก็มีโอกาสได้รับเสด็จของพระบรมโอรสาธิราช พระวรชายา และพระเจ้าหลานเธอสิริวัณวรี นารีรัตน์ ทั้งเสด็จไปและกลับ แต่ตอนรอท่านเสด็จกลับนี่สิ คนไม่รู้มาจากไหน เยอะมากมาย พอตำรวจปล่อยให้เดินก็แถบจะเหยียบกัน ไม่มีใครยอมใครเลย..แปลกจัง เราก็ปล่อยให้เค้าเดินกันไปก่อน บอกคุณแม่กับน้องว่า ไม่ต้องรีบเดี๋ยวจะแย่ และถนนเส้นราชดำเนินก็ถูกปิดไปด้วยผู้คนที่ใสเสื้อสีชมพู สวยดีค่ะ ไฟที่ประดับตกแต่งก็สวยงาม และเราเดินกันตั้งแต่สนามหลวงเดินชมกันมาเรื่อยๆๆ แล้วต้องมาหยุดอยู่ที่หน้าเวทีที่น้องชายเราทำงาน แถวๆ คอกวัว
และในวันนี้เป็นสำคัญของปวงชนชาวไทย คือเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพล อดิลยเดช และเวลาประมาณ ทุ่มกว่า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ปวงชนชาวไทยทุกคนกำลังจะทำความดี นั่นคือ การได้จุดเทียนชัยถวายพระพรในหลวงอันทรงเป็นที่รักยิ่งของชาวไทย คุณแม่เราก็น่ารัก เตรียมเทียนมาจากบ้านด้วย พอถึงเวลาจุดเทียนชัยและร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดี เราหันไปถ่ายรูปและคุณแม่และน้อง ขนลุกไปหมดเมื่อเห็นด้านหลัง พลังมวลชน คนไทยร่วมใจ ใส่เสื้อสีชมพู จุดเทียนชัย และร้องเพลงถวายท่าน ช่างเป็นภาพที่น่าปลื้มจริงๆๆ นะ เราเคยแต่จุดเทียนชัยอยู่ที่บ้าน และร้องเพลงตามในทีวี ไม่ค่อยได้สัมผัสบรรยากาศอันน่าปลาบปลื้มอย่างนี้มานานแล้ว เพราะเด็กๆ ก็เคยไม่ร่วมงานนะ แต่มันก็ยังไม่ทราบซึ้งขนาดนี้อ่ะ หรือเป็นเพราะครั้งนี้เรามากันทั้งครอบครัว เสียดายปะป๊าขาเจ็บ เลยไม่ได้มาอ่ะและพอสิ้นเสียงเพลง พลุนับร้อยก็ถูกจุดขึ้นอย่างตระการตา สวยงามมาก เราถ่ายภาพนิ่งและวีดีโอ เก็บไว้จะได้เอากลับไปให้คนอื่นได้ชมความงามด้วย และสักพักขบวนรถพาเหรดก็เคลื่อนเข้าในถนนราชดำเนิน เราก็พาคุณแม่ไปดู แต่ด้วยความที่เราไม่รู้จุดแน่นอน ก็พาคุณแม่เดินจากจุดแยกคอกวัวไปเกือบถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ก็ต้องโดนเบรคด้วย เจ้าหน้าที่ที่คุมขบวนรถพาเหรดไฟ ให้หยุดเดินแล้วช่วยชิดเข้าข้างทาง เนื่องจากอีกสักครู่เกาะกลางถนนจะทำการจุดพลุ และขบวนกำลังเข้ามา ขบวนรถไม่สามารถผ่านได้ แต่แทนที่จะมีการแจ้งล่วงหน้า มันกลายเป็นว่า คนที่เดินกันเต็มถนน ต้องเบียดกันให้อยู่รวมกันแค่ครึ่งถนน จะยืนก็ลำบาก น้องของเรา ก็แทบจะหายใจไม่ออก เกือบพลัดหลงกัน สงสารเด็กๆๆ เราเองก็เกือบแย่ และพอรถคันแรกผ่านไป เราจึงตัดสินพาคุณแม่และน้องให้เดินตามรถ และค่อยไปรอดูตรงแยกคอกวัวดีกว่า ระหว่างที่เดินไป หัวใจจะวาย แทบช็อก เพราะพลุที่อยู่เกาะกลางถนน ถูกจุดพุ่งขึ้นอย่างดัง เหมือนประหนึ่งอยู่สนามรบ นั่นระเบิดป่าวอ่ะ...555 แต่พอเงยหน้าก็พบกับพลุที่สวยงาม อืม..!.ให้อภัย...แล้วเราก็บอกว่ากับคุณแม่ว่า ให้พาน้องเดินไปเรื่อยๆๆ ถ้าหลงก็ให้ไปเจอกันที่ Booth ที่น้องชายทำงาน เพราะเราจะถ่ายรูปขบวนรถไปเรื่อยๆๆ และก็จริงๆๆ เรามาถึง Booth ก่อนคุณแม่และน้อง เพราะอาศัยความคล่องตัว กับการที่เคยทำงานตามขบวนแห่ต่อนอยู่ภูเก็ตมาเยอะ เราก็ต้องวิ่งกลับไปตามหาคุณแม่และน้องสาวอีกรอบ แล้วก็โทรตามให้มาเจอกันที่ Booth เลย เล่นเอาซะเกือบหมดแรง แต่พอจะกลับก็กลับไม่ได้ เพราะแทบจะไม่มีวี่แวว รถแท๊กซี่ เลย จึงต้องรอน้องชายเลิกงาน ก็ดึก กว่าจะได้ออกมา แถมรถติดอีกต่างหาก น้องชายขับรถวิ่งทะลุมายังแถวเสาชิงช้า อารมณ์อยากกินนมมนต์ พอลงไปที่ร้าน ต้องเปลี่ยนกะทันหัน เพราะคนแน่นออกมานอกร้าน ทำให้ต้องอดกินกันตามระเบียบ...เฮ้อ..เสียดายจริงๆๆ ออกมารถก็ติดซะมากมาย ถึงบ้านนี่อารมณ์เหมือนไปเที่ยวผับกันมาเลย ดึกมากตีหนึ่งกว่าได้อ่ะ ....
แต่ครั้งนี้เราไม่ได้ไปดู การฉายภาพพระราชกรณียกิจของในหลวงที่เป็น 4 มิติที่พระที่นั่งฯ เลยอ่ะ แต่มันก็เป็นความประทับใจและความปลาบปลื้มใจ ที่มีทั้งความเหนื่อย สนุก และความสุขไปด้วยพร้อมกัน มันจึงเป็นวันพ่อที่น่าประทับใจวันหนึ่งที่เราอยากให้ทุกคนหาโอกาสไปสัมผัสแบบเราบ้าง...แล้วทุกคนจะมีรอยยิ้ม^_^ กลับบ้านไปพร้อมกันค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ขอบคุณกาลเวลา

ลมหนาว เริ่มหนาวแล้ว แต่จะได้สักกี่วันอ่ะ ลมหนาวสำหรับคนที่มีคนอยู่เคียงข้างกายก็คงจะมีความสุขกันไป สำหรับเราที่ไม่มีใครก็คงได้แต่เหงาไปวันๆ แต่เราก็ไม่ใช่ไม่มีใครนะ มีหลายคนที่เข้ามา และมีหลายคนที่เดินจากไป มันคือสัจจะธรรมของชีวิตใช่ไหมค่ะ มีคนเรามีเวลาเป็นตัวกำหนดทุกๆ อย่าง เวลาเดินเร็วช้าต่างกันไป ตามจังหวะชีวิตของแต่ละคน เวลาที่หายไป กับเวลาที่เติมเต็มในชีวิตก็ต่างกัน แต่เวลาไหนล่ะ ที่จะมีความสุขที่สุด สำหรับเรา เวลาที่เราได้เจอใครสักคน เวลาที่เราได้รักใครสักคน เวลาที่เราได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เวลาที่เค้าเดินออกจากชีวิตเรา เวลาที่เค้าอยู่ได้แค่ในความทรงจำ คนหลายคนต่างเข้ามาในชีวิตเราแบบหลากหลาย สร้างความผูกพันกันคนละแบบ บางคนเป็นแค่คนที่หวังดี บางคนเป็นคนที่ต้องการเอาชนะ บางคนเป็นแค่เพียงคนที่เดินผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางคนเป็นคนที่ให้ความหวังแล้วทำลายความหวังนั้นไปพร้อมๆกัน ทำให้ชีวิตเราเกิดความสับสนวุ่นวาย บางทีรู้สึกว่ามีคนมากมาย แต่ในใจเรากลับรู้สึกเหงา เพราะมันเหมือนไม่มีสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง เพราะบางอย่างมันก็เป็นความสุขแค่ชั่วคราว ความสุขที่ไม่ยั่งยืน แต่เราก็ยังอยากมีความสุขมากกว่าจะมีความทุกข์นะคะ และทำได้แค่เพียงเก็บเรื่องราวทุกอย่างไว้....ปลายทางจะเป็นอย่างไร ก็คงต้องรอดูกันต่อไป ตู่ชอบMV เพลง ไม่มีเวลาของว่าน มาก....ฟังแล้วเศร้าทุกครั้ง แต่ในความหมายของเพลง มันทำให้เรารู้ว่า สุดท้ายความรักก็ชนะกาลเวลา ผู้ชายดีๆ ที่มั่นคงกับความรัก มันมีในโลกใช่ป่ะ...จะบอกว่า วันนี้เราเหนื่อยจัง กาลเวลาจ๋า...ความทรงจำดีๆๆ มันคงไม่หายไป ....กาลเวลาอาจมีเงื่อนไข แต่แตกต่างจากใจของฉันที่จะรอเพียงเธอ...เพราะลืมเธอไม่ไหว ไม่ได้อยู่ดี...ขอบคุณกาลเวลา^_^

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทำสมาธิ..แก้กรรม

วันที่ 22 สิงหาคม 2552 เราได้มีโอกาสไปฟังบรรยายกรรม ในหัวข้อ "สมาธิกับการแก้กรรม" โดย ริชชี่ พีระวัฒน์ อริยทรัพยกมล ซึ่งเป็นชาวเชียงใหม่ที่มีญาณพิเศษ หยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เนื่องจากเป็นจิตหนึ่งของพระนาราณ์แบ่งมาเกิด ซึ่งในการบรรยายในครั้งนี้ ก็มีสิ่งที่ทำให้เราได้มีโอกาสเข้าไปฟังอยู่ 4 อย่างคือ 1.การที่เราได้กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์ แล้วท่านดลใจให้เราได้เข้ามาฟัง 2.ไม่รู้ว่ามาฟังทำไม อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรให้มาฟังก็ได้ 3.อาจเคยเจอกับริชชี่ในอดีตชาติ 4. เป็นการฟัง ธรรมทาน ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆๆทั้งสิ้น เริ่มต้นเราก็ต้องรู้กันก่อนว่า บาป และกรรม ต่างกันอย่างไร คำว่า "บาป" คือการกระทำผิดที่เจ้าตัวรู้ แต่ไม่มีคู่กรณี และส่วน "กรรม" นั้น เป็นผลของบาปที่ก่อให้เกิดกรรม ซึ่งมีคู่กรณี ส่งผลให้เกิดวิบากกรรม การทำกรรมนั้นก็มี 2 อย่าง คือ กรรมดีและกรรมชั่ว โดยการทำกรรมนั้น ก็ทำได้ 3 ทาง คือ 1.ความคิด ที่เรียกว่า มโนกรรม 2.คำพูด ที่เรียกว่า วจีกรรม 3.ร่างกาย ที่เรียกว่า กายกรรม แต่ถ้าเราทำกรรมดี นั้นก็เสมือนว่า เรากำลังจะสร้างบุญ คนเรามีแค่เสวยบุญ และรับวิบากกรรม ก็เท่านั้น และการรับวิบากกรรมนั้น ก็มีอยู่ 4 เรื่อง คือ1. สุขภาพ 2. ครอบครัว 3. งาน 4. เงิน แต่การรับวิบากรรมนั้นจะมากจะน้อยก็ต้องแล้วแต่ว่าทำอะไรกับเจ้ากรรมนายเวรไว้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเจ้ากรรมนายเวร ก็มีอยู่ 2 อย่าง คือ 1.เจ้ากรรมนายเวรแบบมีชีวิต คือ คนและสัตว์ 2.เจ้ากรรมนายเวรแบบไม่มีชีวิต คือจิตวิญญาณ และเทวดา ในรูปแบบเทวดา ก็อาจเป็นในลักษณะที่ชอบไปบนบาลศาลกล่าวไว้ แล้ลืมแก้บนอะไรทำนองนั้น ดังนั้นเราจึงต้องแก้กรรม เพื่อให้หลุดพ้น เพราะการทำบุญ เป็นเสมือนการสร้างบารมีให้แก่ตัวเอง แต่ยังไม่สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากเจ้ากรรมนายเวร ในกรณีที่เจ้ากรรมนายเวร เป็นคน เราก็มาสามารถเข้าไปขอขมา ขออโหสิกรรม หรือขอโทษ ด้วยใจจริง และให้เค้ายอมอภัยให้เรา เท่านั้น แต่สำหรับเจ้ากรรมนายเวรที่เรามองไม่เห็น สิ่งที่ทำได้คือ เราต้องนั่งสมาธิ เพื่อให้มีจิตที่ตั้งมั่น แน่วแน่สื่อถึงวิญญาณเพื่อขออโหสิกรรม และให้เค้าอภัยแล้วยอมรับในการขออโหสิกรรม เพราะไม่รู้ว่าจะอภัยให้ง่ายรึป่าว แต่ถ้าเราตั้งมั่น สักวันหนึ่งก็จะมีทางที่เค้าจะให้อภัย ซึ่งเป็นผ่อนหนักให้เป็นเบามากว่า ทำครั้งเดียวแล้วมันจะหมดไปเลยนั้นคงยาก การทำสมาธิ สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะไปฝึกจากที่ไหน แบบใด ก็ให้เรามีจิตใจที่มุ่งมั่นและเป็นสมาธิได้ทั้งนั้น และการทำสมาธิแก้กรรมนั้น ควรทำในเวลากลางวัน เพราะเป็นช่วงที่เรายังมีพลังมากกว่าช่วงกลางคืน ซึ่งจิตเราจะอ่อนตามร่างกายที่เหนื่อยล้า...แต่สำหรับวิญญาณนั้นมีพลังทุกเวลา สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งดีๆที่เราเอามาฝากและอยากเผยแพร่ให้กับผู้ที่อ่านบทความนี้ และที่สำคัญลองทำสมาธิแก้กรรมกันดูก็ได้นะคะ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น บางทีเราอาจจะหลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่ดี แล้วมีชีวิตที่ดี มีความสุข และตู่ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขกันถ้วนหน้านะคะ^_^

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

น้ำมนต์...จากแม่^_^

วันนี้ 12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ ที่ทุกคนรู้กันดี ว่าจะมีผู้หญิงอีกหนึ่งคนที่รักเรามากมาย และรักเราที่สุด วันนี้หลายๆ คนก็คงทำหน้าที่ลูกกันต่างๆ นานา แล้วแต่ว่าจะทำอะไร แต่จริงๆแล้วท่านคงขอแค่ให้ลูกคิดถึงท่านบ้างเท่านั้น ส่วนเรานะเหรอ...โอกาสสำคัญอย่างนี้ เราก็ตื่นไปใส่บาตรแต่เช้า และก็ไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อครอบครัว คือ คุณพ่อ คุณแม่ น้องๆ และญาติๆรวมถึงอุทิศส่วนกุศลให้กับก๋ง (ปู่)อาม้า(ย่า) ตาและน้าๆ ที่ล่วงลับไปแล้ว และที่ขาดไม่ได้ต้องอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้วย เสร็จแล้วก็เดินหามะลิสวยๆตั้งใจเอากลับมากราบขอพรคุณแม่เลยล่ะ
พอถึงบ้าน เราก็เตรียมสิ่งๆหนึ่งไว้ก่อนที่คุณแม่จะตื่น แต่วันนี้คุณแม่ก็ยังไม่ตื่น ตอนแรกก็สงสัยว่าคุณแม่ไม่สบายรึป่าวอ่ะ...ท่านปวดหัวนิดหน่อย แต่พอลงมาเราก็บอกให้ท่านนั่งที่เก้าอี้ ท่านก็ขอตัวไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน แล้วพอคุณแม่มานั่ง....สิ่งที่เราเตรียมคือ น้ำสะอาดๆ ลอยด้วยดอกมะลิหอมๆ และดอกกุหลาบ เราเอาพวงมาลัยมะลิสด มากราบขอพร และขอให้ท่านอโหสิกรรมให้กับเรา ที่เราเคยทำไม่ดี ไม่ได้ดั่งใจ ทำให้ท่านไม่สบายใจ ทั้งหลายทั้งปวง...เชื่อป่ะว่า ตอนแรกคิดคำพูดอย่างดีเลย แต่พอคุณแม่นั่งตรงหน้า น้ำตามันก็เริ่มไหล เริ่มพูดไม่ออก ได้แต่ขอโทษ ขออโหสิกรรมในสิ่งที่ผ่านๆมา และได้บอกรักแม่พร้อมกับการกอดที่รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลยอ่ะ.....แล้วคุณแม่ก็อโหสิกรรมและให้พรเรามากมายเลย....และหลังจากนั้นเราก็เอาเท้าทั้งสองของคุณแม่ใส่ลงไปในน้ำที่เตรียมไว้ ล้างเท้าท่าน แล้วค่อยเอามาลูบหัว และส่วนที่เหลือก็นำไปเก็บไว้ ....เพราะนั่นคือน้ำมนต์อย่างดีเลยล่ะ...
สิ่งที่เราทำให้แม่ในวันนี้ มันอาจเป็นแค่เสี้ยวเดียวที่เราได้มอบให้ท่าน แต่เราก็ดีใจนะที่เราได้ทำให้แม่ในวันนี้...เพราะชีวิตคนเรา...เกิดมาเป็นผู้เป็นคนได้ ก็เพราะความรักของแม่ บางทีสิ่งเหล่านี้มันอาจน้อยเกินไปด้วยซ้ำ....แต่เราก็พยายามดูแลท่านอย่างดีเสมอ...และเราก็อยากให้ทุกคนมอบความรักให้กับแม่ทุกๆวัน ไม่ใช่เฉพาะวันนี้เท่านั้น...แล้วทุกคนก็จะมีความสุข เมื่อเราเห็นคนที่เรารักและรักเราที่สุดยิ้ม^_^ ได้.......หวังว่าทุกคนจะรักแม่เหมือนตู่นะคะ......รักแม่ค่ะ
ปล.สิ่งที่ตู่ทำให้คุณแม่ในวันนี้ ใครสนใจจะนำไปทำให้คุณแม่ของแต่ละคนบ้างก็ยินดีนะคะ...และสามารถทำได้ทุกโอกาสไม่ว่าจะวันเกิดเรา หรือวันเกิดของคุณแม่ท่าน....แล้วมันจะช่วยให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้น....ถ้าทุกคนรักแม่ค่ะ

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

สู้ลมหนาว ณ ปาย

เราได้ลาพักร้อนไปสู้ลมหนาวไกลถึงเชียงใหม่-ปาย โน่นแน่ะ ทริปนี้ไปกับเพื่อนๆ และพี่ๆ หลายคน (ใครอยู่ในทริปนี้..ยกมือขึ้น แล้วจะเป็นคนน่ารักทุกคนเลย)พวกเราไปเที่ยวเชียงใหม่กันก่อน 1 วัน ขอพรครูบาศรีวิชัย ขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ (แอบคิดถึงเรื่องในอดีต..เฮ้อ!)
และรุ่งขึ้นเราก็เดินทางไปปาย ผ่าน 762 โค้ง แบบสบายๆ แล้วก็เข้าที่พักก่อน บรรยากาศดีสุดๆ เลยอ่ะ ได้สัมผัสธรรมชาติ ความเป็นอยู่ที่ยังมีกลิ่นไอชนบทอยู่บ้าง ได้ไปเที่ยววัดน้ำฮู แล้วต่อด้วยเดินชมหมู่บ้านสันติชล ที่สะท้อนความเป็นอยู่ของไทย-จีน ยูนาน เราได้ไปเล่นชิงช้าของพวกเค้าด้วย (หนุกดีนะ..) และไปบ่อน้ำร้อนปาย กลับมาเก็บภาพความประทับใจที่สะพานประวัติศาสตร์แม่น้ำปาย และ Coffee in Love แล้วเดินเล่นที่ถนนคนเดินปาย และก็กลับมาก่อกองไฟ ผิงไฟ ลอยโคมกันที่บ้านพัก คืนนี้มีดาวน้อยไปหน่อย แต่อากาศก็หนาวแบบสุดๆๆ เหมือนกันนะ
ตี 4 ของเช้าวันใหม่ ทุกคนต้องออกเดินทางไปห้วยน้ำดัง ซึ่งตอนแรกจะไปปางอุ๋ง แต่เกรงว่าหนุ่มๆ ที่นั่งกะบะหลังจะไม่ไหวอ่ะดิ..และแล้วห้วยน้ำดัง ยังสวยเหมือนเดิม (คิดอีกล่ะ) และบ่ายๆ ก็มาอยู่กับธรรมชาติแบบสุดๆๆ กับการล่องแพแม่น้ำปาย แสงแดดอ่อน สายลมหนาวเอื่อยๆๆ เสียดายที่ไม่มีคนข้างกาย (เฮ้อ! แย่จัง) แต่ก็ Happy สุดเลยล่ะ อยากใช้ชีวิตอย่างนี้นานๆ จัง แต่แล้วเราก็ได้ของที่ระลึกเป็นบาดแผลตอนหน้าหนาว..(แง..แง..เจ็บชะมัดเลย) ก็บังเอิญแพเจ้ากรรมดันชนกับก้อนหินนะสิ..ดีนะที่ไม่ตกน้ำไป แต่กลัวมือถือหล่นสุดๆ เลยอ่ะ แต่แค่นี้ไม่ทำให้ความประทับใจลดลงได้หรอกนะ และพวกเราก็ขึ้นไปดูพระทิตย์ตกดินที่วัดแม่เย็น ซึ่งจะเห็นบรรยากาศรอบๆ เมืองปาย สวยมั่กๆๆ แล้วหลังจากนั้น ก็ไปซื้อของเพื่อที่จะกลับไปกินข้าว ข้างๆ กองไฟ เคล้าเสียงเพลง และเสียงกีตาร์ ที่กว่าจะได้ฟังสัก 1 เพลง ก็จะต้องฟังคำบรรยายที่มาของเพลงก่อน (อืม! ก็ไม่มีใครเล่นเป็นก็ต้องรอฟังกันไป) แล้วคืนนี้พวกเราก็ลอยโคมกันอีก แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากวัสดุมันไม่ค่อยดีอ่ะ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ประทับใจมั่กๆๆ ทำให้ไม่อยากกลับเลยอ่ะ สัญญาจ๊ะ..ถ้ามีโอกาสจะกลับมาที่..ปาย..อีก :-)
เช้าวันใหม่กับการออกเดินทางจากปาย สู่เชียงใหม่ ซึ่งครั้งนี้ ทรมานมากๆ เพราะรถตู้ขับรถแย่จัง อากาศในรถตู้มันน้อยๆๆงัยไม่รู้ หายใจแทบไม่ออก กว่าจะถึงเชียงใหม่ กว่าจะได้เข้าที่พัก และกว่าจะได้กินข้าว ทำให้พวกเราหน้ามืด หลงเข้าไปในร้านเย็นตาโฟทะเล ชามโตสุดแพง ดื่มน้ำสตอเบอร์รี่ที่ราคาสูงริบลิ่ว แต่มันก็อร่อยมั่กๆๆ นะ คิดตังค์ที..หน้ามืดจริงๆๆ แล้วเราก็ไปเที่ยวพืชสวนโลก เค้าจัดตกแต่งได้สวยมั่กๆๆ แถมมีการโดดร่มเหิรเวหาด้วย และต่อด้วยการส่องสัตว์ที่ไนท์ซาฟารี อย่างใกล้ชิด ตื่นตาตื่นใจกับน้ำพุเต้นระบำ แล้วต่อด้วยอาหารมื้อใหญ่แถวหน้า มช. และตบท้ายด้วย ชอปปิ้งที่ไนท์บาซาร์ แล้วเข้าพักผ่อนที่โรงแรมสไตล์ล้านนาอย่างธาตุคำ..ก็จบอีก 1 คืนที่เชียงใหม่
เช้าวันสุดท้าย วันพ่อแห่งชาติ สามสาวฝ่าลมหนาว เป็นคนดี เดินไปซื้อของเพื่อจะมาใส่บาตรที่วัดธาตุคำแถวโรงแรม ทำให้เช้านี้เป็นเช้าที่อิ่มบุญกันไป และกลับมาเก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับ ก่อนกลับเราก็ต้องไปซื้อของฝากกันที่กาดวโรรส วนัสนันท์ แล้วถึงแยกย้ายกันกลับกรุงเทพฯ ส่วนกลุ่มที่ต้องรอกลับเครื่อง ก็ไปเที่ยวกันต่อที่พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ และตบท้ายด้วยอาหารญี่ปุ่นราคาถูก และเหมือนจะอร่อยที่สุดในเชียงใหม่ แล้วก็กลับมาเอากระเป๋าที่โรงแรมเพื่อที่จะไปสนามบิน
เฮ้อ! เวลาแห่งการพักผ่อน มันช่างเร็วเหลือเกิน ถ้าหยุดเวลาได้ก็คงดีสินะ ขอบคุณทุกๆ การเดินทาง และทุกๆ คนในทริป ที่น่ารักมากๆ นะคะ หวังว่าจะมี Trip สนุกๆๆ อย่างนี้ให้พวกเราได้เดินทางร่วมกันอีกนะคะ เอ๊ะ! แล้วเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนในทริปนี้ เค้าจะคิดเหมือนเรากันไหมน๊า..? เป็นอย่างไรบ้างค่ะ..Trip รับลมหนาว..ขอบอกว่า ถ้าคนไหนยังไม่มีโปรแกรม เราขอแนะนำให้ไปท้าลมหนาวที่ปายกันนะคะ..รับรองไม่ผิดหวัง..ประทับใจสุดๆๆ เลย...อืม! อยากไปปายอีกจังเลยอ่ะ....:-)