วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553
สิ้นปี...หรือจุดเริ่มต้น
แปปเดียว..สิ้นปีอีกแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ ตอนแรกตั้งใจจะไปปฎิบัติธรรมซะหน่อย แต่ก็ดันมีปัญหาเรื่องงาน แถมไม่สบายอีก และกำลังใจก็ไม่รู้ไปไหน เราก็เลยล้มอย่างไม่เป็นท่าเลย แต่เรายังโชคดีที่เรามีครอบครัว มีเพื่อนๆที่สนิท เพื่อนที่ทำงาน หรือจริงๆ เราก็อาจไม่ได้ขาดอะไรเลยล่ะมั้ง..??
ปีนี้วันพ่อแห่งชาติเราก็ได้ไปทำบุญใส่บาตร ถวายเป็นพระมหากุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเอาพวงมาลัยมากราบขอพรปะป๊าของเราอีกด้วย มันอาจจะเขินแต่เราก็อยากทำให้เค้ารู้ว่า เรารักและเคารพเสมอ บางทีคงไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะรักเราได้มากที่สุด เท่าผู้ชายคนนี้ เราไม่เคยไขว่คว้าหาความรักหรอกนะ มันจะมีหรือไม่มีก็ช่างมัน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของเรา คือการหาเงินมาให้ทางบ้านได้อยู่กันอย่างสะดวกสบาย และปีนี้เราก็ไปทำบุญโลงศพที่วัดหัวลำโพง และนั่งสงบนิ่งอยู่ในอุโบสถ เย็นสบาย หยุดคิด หยุดชีวิต ที่วุ่นวายสักพัก หาสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง...น่าจะดีที่สุด
ทำไมคนเราต้องดิ้นรนหาความรัก เรารู้ว่าความรักมันคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจ แต่เราก็เห็นคนอีกมากมายที่มีปัญหากับความรัก ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่เข้าใจคำๆนี้เลยจริงๆ คนเราพบกัน รู้จัก เพื่ออะไร เพื่อสร้างความรู้สึกดี-ดี ต่อกัน หรือทำร้ายและทำลายความรู้สึกเหล่านั้น โบราณเค้าบอกว่า ให้เลือกคบคนดีๆ และเลือกคนที่เค้ารักเรา แต่ทำไมนะ....คนดีๆ ต้องกลายเป็นคนไม่ดีในที่สุด ด้วยนะ หรือจริงๆ เราต่างหากที่ไม่เคยมองเห็น เพราะแท้ที่จริงแล้ว เค้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร เค้าอาจเป็นคนที่หลอกแม้กระทั่งตัวเค้าเอง ใช้ชีวิตอย่างไม่มีจุดหมาย ใช้ชีวิตไปวันๆ มีความสุขกับสิ่งรอบๆตัวเอง เล่นอยู่กับความรู้สึกของคนอื่น และที่สำคัญเค้าคงรักตัวเองมากที่สุด เค้าคงกลัวเจ็บ เค้าเลยไม่กล้าที่จะทำอะไรให้มันชัดเจน บางทีคนอย่างนี้เราก็ไม่ควรเลือกมาเป็นคนของชีวิตเราใช่ป่ะ...??
ฟ้าสร้างให้เรามาเจอกัน รู้จักกัน ผูกพันกัน และสุดท้ายก็ต้องเดินจากกันไป เหมือนคนไม่รู้จักกัน ทำไมเราต้องมีวงจรชีวิตแบบนี้กันด้วย ในเมื่อเราก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร คนที่เข้ามารู้จักส่วนใหญ่ก็เป็นคนดี แต่ทำไมมันก็ยังมีคนที่มาคอยทำร้าย ทำลายความรู้สึกดีๆ ที่มีให้แก่กันด้วยนะ หรือเราเป็นคนใจดีเกินไป อะไรก็ได้ ไม่เคยที่จะคิดร้ายกับใคร สุดท้ายก็เจอคนเหล่านั้นคิดร้ายและทำลายเสียเอง แต่เราก็เชื่อว่า เวรกรรมมีจริง เราถือว่าเราชดใช้ให้พวกเค้าแล้ว เค้าต่างหากที่กำลังจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำกับเรา ใครทำอะไรกับเราไว้รับรองผลกรรมนั้นตามสนองเค้าแน่ ไม่ได้แช่งหรือคิดร้ายใดๆๆ แต่แค่คิดว่า เราอยู่ของเราเฉย...คุณ...คุณ..คุณ และคุณเอง เป็นคนทำให้ฉันต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ คุณก็เป็นคนที่ไม่สมควรที่จะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน...จำไว้นะคะ..ถ้าคุณอยากได้สิ่งใด คุณก็ต้องทำสิ่งเหล่านั้นก่อน เมื่อคุณอยากมีความรัก คุณก็ต้องรักเค้าก่อน คุณอยากก้าวหน้า คุณก็ต้องสร้างจากตัวเองก่อน คุณอยากมีความสุข คุณก็ต้องเริ่มสร้างความสุขก่อน เริ่มจากการกระทำ ซึ่งมันอาจทำให้ใครหลายคนรับรู้และรู้สึกได้ว่าเราตั้งใจ จริงใจ หรือเสแสร้งเพียงใด....สำหรับคนที่ผิดหวังกับสิ่งใด ก็จงอย่าท้อ มีคนเคยบอกตู่ว่า ท้อได้แต่อย่าถอย ซึ่งตู่ก็ไม่เคยลืม เราถึงต้องลุกขึ้นสู้ แม้ว่าจะวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ และสำหรับคนที่ผิดหวังกับความรัก เราก็อยากบอกว่า เสียใจมันไม่แปลก แต่อย่าจมกับสิ่งเหล่านั้น เพระวันนี้เราอาจคิดว่า เราคงจะเสียคนที่เรารักไป แต่เค้าต่างหากที่ต้องเสียใจกว่าเรา เพราะเค้าจะเสียคนที่รักเค้ามากที่สุดไปอีกหนึ่งคน และเค้าจะอยู่อย่างมีความสุขไหม ถ้าคนที่รักเค้าลดน้อยลงไป ชีวิตคนเรามันสั้น แถมไม่มีอะไรแน่นอนอีกด้วย ทำดีต่อกันไว้ นั่นล่ะ...ดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ...ขอให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้ จงมีแต่คนรักและมีความสุขตลอดไป ทำวันนี้ให้มีความสุขและใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกๆวันนะคะ..^_^
วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553
มิตรภาพแห่งกาลเวลา
ฉันมีเพื่อนสนิทที่สุดอยู่ 2 คน คนหนึ่งอยู่ไกลถึงอเมริกาชื่อเจี๊ยบ และคนหนึ่งเป็นภรรยาชาวเกาหลีไปแล้ว ชื่อนุช ก่อนหน้านี้อยู่เกาหลีด้วยซ้ำอ่ะ แต่พอมาปีนี้ 2553 เราสามคนได้มีโอกาสมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ได้กิน ได้นอน ได้เที่ยว ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง ประมาณ 3-4 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลา 3-4 วันที่มีคุณค่าและมีความสุขที่สุดสำหรับเราทั้งสามคน บอกไม่ได้กับความรู้สึกที่มันผูกพันกันอย่างมากมายนับไปนับมา เกือบ 20 ปีได้แล้วล่ะมั้ง ที่เรารู้จักและเป็นเพื่อนกันมา มันแทบจะไม่ต้องพูดไม่ต้องบอกเลยว่า คนๆหนึ่งคิดและรู้สึกอะไรอย่างไง เล่าอะไรก็จะทันกัน พูดกัน เตือน ห่วงกัน และรักกันมากมาย
เริ่มต้นก็ได้มาเจอกันรอบหนึ่งก่อนตอนเจี๊ยบกลับมาถึงเมืองไทย ก็ได้แค่กินข้าวเย็น เม้าส์ๆๆ จนนอนตี 3 เลยอ่ะ แล้วพอเช้าก็ต้องแยกย้าย เรามาทำงาน เจี๊ยบกลับภูเก็ตไปจัดการเรื่องบ้าน เรากับนุชก็เลยอยากให้เจี๊ยบกลับมาอีกรอบก่อนกลับอเมริกา และแล้วเจี๊ยบก้ตัดสินใจเปลี่ยนตั๋วเดินทาง โดยลงไปภูเก็ตแล้วกลับขึ้นมาอยูที่กทม.ต่ออีก 2-3 วันแล้วค่อยกลับอเมริกา ในช่วงสัปดาห์นั้นต่างคนก็ต่างใช้ชีวิต และติดต่อกันบ้าง เพื่อรอเวลาให้เจี๊ยบขึ้นมาอีกรอบ
และแล้วเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง ด้วยความที่มีเพื่อนหลายกลุ่ม กว่าจะรวมกันได้ คนนั้นจะเอาอย่าง คนนี้จะเอาอย่าง ปวดหัวมากมายกับการจัดโปรแกรมที่จะมาเจอกัน เฮ้อๆๆ วุ่นวาย แต่ก็สรุปด้วยโปรแกรมไปกินข้าวเย็น ที่ Secret Garden กับเพื่อนกลุ่มม.กรุงเทพ แต่เรากับนุชไม่ได้ไปเพราะรถติด ทำให้สามีของนุชต้องหาอะไรทานก่อน เลยต้องแยกกันไป แล้วค่อยไปต่อที่ Slim และ Curve สนุกสนาน..ปล่อยแก่กันไป กับน้องๆ หลานญาตินุช เฮฮามากมาย ดื่มค๊อกเทลกันอย่างเอร้ดอร่อย มึนกันไป กับบรรยากาสฝนตกรถติดตลอดคืน แล้วเราก็ไปนอนบ้านนุชกันที่สุขุมวิท มึนกันก่อนกว่าจะถึงบ้าน..และกว่าจะได้นอน ก็ตี3-4 กันอีกแล้ว555
เช้าวันที่ 2 กว่าจะตื่นกันแล้วไปช็อปปิ้งที่ แพลตตินั่ม เดินกันแบบว่าเกือบทุกซอกทุกมุม แต่เวลาก็ไม่พอ เราต้องรีบไป Dinner ที่ Spring Summer ร้านของพี่พล ตัณฑเสถียร กันต่อ ที่ร้านบรรยากาศเป็นเบาะใหญ่ๆ นั่งชิลๆๆ เสมือนนอนกิน กินเสร็จก็นอนดูดาวบนท้องฟ้ากลางสนามหญ้านั้นเลย อากาศดีมากมาย เหมือนอยู่บ้าน อาหารก็อร่อยนะคะ ของหวานก็ผ่าน..และคืนนั้นนุชอีกนุชที่อยู่ชลบุรีก็มาด้วย มันช่างอบอุ่น รื้อฟื้นเรื่องราวสมัยอดีต เก็บภาพกับสถานที่กันไป พอร้านปิดเที่ยงคืนเราก็ต้องแยกกันไป นุชชลก็กลับบ้าน พวกเรา 3 คนก็กลับไปบ้านนุชที่สุขุมวิทอีก ถึงปุ๊ปก็รื้อของที่ซื้อมาดูกัน แล้วก็upload รูป และupfb กันก่อน แล้วก็นอนคุยกันไปเรื่อย ขุดเรื่องราวเก่าๆและพูดกันถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น ที่สำคัญนินทาบรรดาผู้ชายทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพวกเราด้วยอ่ะ..555 จนเกือบตี 3-4 อีกแล้ว
เช้าวันนี้เจี๊ยบก็ต้องเตรียมตัวเดินทาง และมีญาติมาหา แล้วหลังจากนั้นก็ต่างเก็บของแล้วคุยเล่นกันไป และพอประมาณบ่าย 3ก็ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางไปส่งเจี๊ยบที่สนามบิน เราไปกันก่อนเวลาก็ไปนั่งเม้าส์และถ่ายรูปกันต่อ พอ 6 โมง เวลาแห่งการจากลาก็มาถึง เราคุยกันว่าต้องไม่ร้องไห้ แต่แล้วพอกอดกันเท่านั้น นุชก็เริ่มร้องเป็นคนแรก แล้วก็ตามๆ กัน จนกลายเป็นเด็กที่ไม่สนว่าใครจะมองอะไร เพราะความรู้สึกตอนนั้น เราสามคนก็คงไม่อยากจะจากกัน มันเป็นเวลาที่คิดถึงแล้วน้ำตาจะไหลทุกครั้ง และยิ่งคิดถึงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆแต่สนุกสาน มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ดังตลอด มันทำให้เรายิ่งไม่อยากจะจากกัน แต่ทุกคนก็มีหน้าที่ มีทางต้องเดิน แต่แค่รู้กันไว้ว่า ช่วงเวลาเหล่านี้มันเป็นความทรงจำที่มีความสุขเหลือเกิน
เราคิดว่าเราโชคดีนะ ที่เรามีเพื่อนที่ดีอย่างนี้ นุชกับเจี๊ยบเข้าใจในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะดีจะร้ายเราก็ไม่เคยโกรธกัน เราอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เพื่อพ่อแม่และครอบครัว และเราก็จะไม่ทิ้งความเป็นเพื่อนที่ดีของทั้งสองคนนี้ เพราะในเวลาที่เราไม่มีใคร ในหลายๆครั้งที่ทั้งสองคนนี้มักจะอยู่ข้างเราเสมอ แม้ตัวอาจจะไม่ได้อยู่ใกล้กัน แต่ความเข้าใจและคำพูดก็จะถูกส่งมาให้กำลังใจเราเสมอ เราดีใจที่มีเพื่อนมากมาย และเราก็คิดว่าเพื่อนของเราทุกคนเป็นคนดี เป็นคนที่ข้าใจ รักเราและเราก็รักทุกคน และสำหรับเพื่อนรักทั้งสองคนนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราจะรักเพื่อนรักของเราทั้งสองคนนี้ตลอดไปและตลอดกาล...เราสัญญา^_^
วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553
น้ำศักดิ์สิทธิ์
12 สิงหา อีกแล้วนะคะ ก่อนวันนี้เราได้ยินเรื่อง การเกิด การตาย โดยเริ่มจากวันที่ 10 สิงหา เราไม่สบายกลับบ้านด้วยแท๊กซี่ ซึ่งเปิดคลื่นธรรมะ พูดถึงเรื่องการเกิด การเจ็บท้องของแม่ การเริ่มต้นของชีวิต มีเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดของแม่ และคนขับรถก็กลัวเราจะกลัวก็เลยปิดและเปลี่ยนมาขอเทศนาธรรมให้ฟัง บอกว่าเคยบวชเรียนมาก่อน สรุปได้ว่า ไม่ควรฆ่าพ่อแม่ไม่ว่าด้วยทางใดก็ตาม มันเป็นบาป
และพออีกวันหนึ่ง เรานั่งรถป๊อกๆ กลับเข้าซอยบ้าน เจอเด็กคนหนึ่งกับแม่ ซึ่งเด็กคนนั้น เอาแขนมาโดนขาเรา แล้วเค้าก็ยกมือขอโทษ เราก็ยิ้มให้แล้วบอกว่าไม่เป็นไรจ้า แล้วพอคนข้างๆ เราเค้าลุกไป แม่ของเด็กคนนั้นก็ให้เค้ามานั่งข้างๆ เรา และเราก็ขยับเพื่อให้มีที่นั่งเผื่อแม่น้องเค้าด้วย และคุณแม่ของน้องเค้าก็เล่าว่า นี่เป็นลูกคนเล็ก มีพี่สาวอีกคนเป็นฝาแฝดกัน ซึ่งหน้าตาน่ารักกว่านี้อีก มีเขี้ยวด้วย แต่เพิ่งเสียจะเผาพรุ่งนี้ เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในสมอง อะไรประมาณนั้น เป็นอยู่ 4 เดือน แล้วก็เพิ่งเสีย ครอบครัวเค้ามีอาชีพเก็บของเก่าขาย ซึ่งนี่คุณแม่ของน้องเค้าก็ไม่กล้าบอกน้องเค้าว่า พี่สาวเค้าตายแล้ว กลัวเค้าจะอยู่ไม่ได้ เพราะจิตที่เป็นฝาแฝด กลัวความผูกพันจะดึงกันไป และพอดีถึงบ้านเรา คุณแม่น้องเค้าก็อวยพรให้เราโชคดี เราก็ได้แต่แสดงความเสียใจ และเก็บมาคิดว่า ทำไมชีวิตคนเรา มันช่างไม่แน่นอนอย่างนี้ เราควรทำสิ่งที่ดีๆ ต่อกันไว้ซะนะคะ....
และพอวันนี้ เราก็ตื่นแต่เช้าไปใส่บาตร ไหว้พระ ขอพรสิ่งศักดิสิทธิ์ เพื่อครอบครัวของเรา และก็หาดอกมะลิสดกับมาให้แม่เมื่ออย่างเคย และพอกลับบ้าน แม่ก็ตื่นมา ซึ่งเราก็เร่งเตรียมน้ำสะอาด โรยดอกมะลิ กุหลาบ เหมือนอย่างเคย ให้ท่านนั่งแล้วกราบขออโหสิกรรม พร้อมกับรดน้ำที่มือ แล้วล้างเท้าท่านด้วย และก็ให้น้องเราทำแบบนี้เหมือนกัน แล้วนำน้ำนั้นมาลูบหัว คิดว่าต่อไปนี้ชีวิตเราจะต้องเจอแต่สิ่งดีๆ เพราะเรามีน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่แม่ให้พรเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีที่สุด และเราก็เผื่อแพร่บุญไปให้ใครต่อใครหลายคน รวมถึงคนที่เกิดวันนี้ด้วย ซึ่งเค้าก็กราบเท้าแม่เพื่อเป็นมงคลชีวิตแบบเราเหมือนกัน ซึ่งเราไม่รู้ว่า อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่วันนี้เรามีน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้รดหัว ได้เห็นรอยยิ้มของแม่ ได้เผื่อแพร่บุญและความดีให้กับใครหลายๆ คน เท่านี้เราก็มีความสุขแล้วล่ะ และวันนี้ทุกคนทำอะไรดีๆ เพื่อแม่ ผู้หญิงที่คุณรักและรักคุณที่สุด หรือยังค่ะ และควรทำสิ่งดีๆ ต่อทุกๆคนไว้นะคะ เพราะชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน แค่เรามีความทรงจำดีๆ ในทุกวันนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ.....ขอให้ทุกคนมีความสุขในทุกๆ วันนะคะ ^_^
วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553
ธรรมะเทอราปี
เริ่มต้นปีมาก็รับพรปีใหม่ ด้วยการสวดมนต์ข้ามปี ปีนี้เลยได้ทำงานเพื่อสังคมเยอะขึ้น เหนื่อยยิ่งกว่างานปรกติ แต่ได้บุญไปด้วย ล่าสุดช่วงวันคล้ายวันเกิดก็ได้ไปใส่บาตร และยังได้ไปช่วยทาสีโรงเรียนที่ต่างจังหวัด และไปนมัสการหลวงพ่อโสธรด้วย หลังจากนั้นก็บินตรงไปทำบุญกับที่บ้านที่ภูเก็ต ถวายสังฆทานชุดใหญ่แก่หลวงปู่สุภา แต่เสียดายที่ท่านจำวัด แต่ก็ได้กราบและเห็นท่านใกล้ชิด เลยตั้งจิตอธิษฐานถวายสังฆทานกันตรงนั้น เพื่อครอบครัว เราต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องทำก่อน
ปีนี้เราเหมือนต้องใช้ธรรมเทอราปี เป็นคำที่น่าจะถูกต้อง ใช้ธรรมะ บำบัด เพราะงานที่ทำเหนื่อยมากมาย เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ และที่สำคัญกำลังใจจากคนสำคัญหายไป ทั้งๆที่เรามีใครเข้ามามากมาย แต่คนเหล่านั้น ก็ไม่ทำให้เราลืมกำลังใจสำคัญนั้นได้เลย เราก็คงทำเวรทำกรรมไว้เยอะอ่ะ เค้าก็เลยเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่แสนดี และน่ารักเสมอ ตลอดไป ....เราเลยต้องอาศัยธรรม ฝึกกาย ฝึกกำลังใจ สร้างสิ่งที่ต่อสู้กับความเป็นจริงที่เหน็ดเหนื่อยอย่างลำพัง ที่พึ่งที่ดีก็คือตัวของเราเป็นที่ตั้ง ฝึกให้กายและใจเป็นธรรมะ และสิ่งดีๆ ก็จะเข้ามาในชีวิตเอง
ล่าสุดในวันพระใหญ่เราไปเวียนที่เสถียรธรรมสถาน สถานที่ปฎิบัติธรรม ที่เข้าไปแล้วร่มรื่นและเย็นสบาย เข้าไปเริ่มต้นสวดมนต์ในตอนเย็น ใต้ต้นโพธิ์ที่แผ่กิ่งก้าน ร่มเย็น สัมผัสสายลมที่พัดผ่านเป็นระลอก ต้นไม้พลิ้วไหว อากาศกำลังสบาย พอสวดมนต์เสร็จ เนื่องวันนี้แม่ชีศันสนีย์ท่านติดภารกิจ ไม่ได้อยู่ที่วัด ก็มีพระอาจารย์จากวัดชลประทาน มาบรรยายธรรมให้ฟัง ท่านแสดงธรรมแบบให้ข้อคิดบนพื้นฐานความเป็นจริงให้เลิกแข่งขันแล้วหันมาแบ่งปัน สังเกตจากการเขียน แข่งขัน แค่แยกขา ขอไข่ ออกให้ห่างทั้งสองตัว แล้วลากหางขอไข่ตัวหลังให้ยาวขึ้น เท่านั้นก็ได้คำว่า แบ่งปันแล้ว...และในวันนี้เป็นวันแห่งความคิดถึง คิดถึงธรรม พระพุทธเจ้าท่านจึงแสดงธรรม เป็นพระโอวาทปาฎิโมกข์ งัยค่ะ คนเราควรคิดคิดถึงคนอื่นและสิ่งอื่นให้มากขึ้น เพราะถ้าคิดถึงแต่ตัวเองก็จะเกิดความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง แต่ถ้าเราไม่เห็นแก่ตัวเราก็จะไม่อยากแข่งขัน และก็จะเกิดการแบ่งปัน....ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการอยู่ร่วมกันในสังคม
แล้วเมื่อรับฟังธรรมกันจบก็เข้าพิธีสวดมนต์ในวันพระใหญ่ แล้วเวียนเทียน ที่นี่เป็นการเวียนเทียนรอบ สระบัว ต้นโพธิ์ พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ใต้ต้นโพธิ์ เท้าติดพื้น สัมผัสดิน หิน หญ้า น้ำ ธรรมชาติ ความมืด คึวามสว่าง ต้องพิจารณาทางและสวดมนต์ไปด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นเวียนเทียนอีกรูปแบบที่ประทับใจและน่าจดจำในชีวิต ทำให้เราแอบคิดถึงคนที่เค้าชอบปฎิบัติธรรมเหมือนเราคนหนึ่ง ที่เค้ามักจะพาเราไปพบสิ่งดีๆ เสมอ แต่วันนี้...เค้าอยู่ไหน เจ้ากรรมนายเวรที่แสนดี
เราเลยอยากเผื่อแผ่บุญให้กับทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านบล็อคนี้ ถึงแม้ว่ามันอาจเป็นความรู้สึกส่วนตัวของเราก็ตาม เราแค่อยากเผื่อแผ่การเวียนเทียนอีกรูปแบบ การสวดมนต์ ฟังธรรม เวียนเทียน ที่ต่างไปจากการเข้าวัดในรูปแบบปรกติแต่เราสงบและรู้สึกดีไม่ต่างกันเลยค่ะ สบายใจขึ้นมากเลย แม้วันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ถ้าวันนี้เราทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เราก็จะไม่เสียใจเลยใช่ไหมค่ะ...ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆๆ และคนดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป^_^
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553
สวดมนต์ข้ามปี...รับพรปีใหม่ 2553
สวัสดีปีใหม่จ้า...เริ่มต้นปี 2553 เราข้ามผ่านปีด้วยการสวดมนต์ข้ามปี ณ วัดชนะสงคราม ในที่สุดสิ่งที่ตั้งใจเราก็ได้ทำซะที เพราะปีที่แล้วได้ทั้งปฎิบัติธรรม และยังได้เที่ยวพักผ่อน แต่พอปี 2552 ที่ผ่านมา นี่สิ..วันลาพักร้อนก็ไม่ได้ใช้ ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง...เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว เลยตั้งใจจะไปสวดมนต์ข้ามปีที่ภูเขาทอง หรือวัดสระเกศ ตอนแรกกะจะพาคุณแม่ไปด้วย แต่คุณแม่กลัวไม่ไหว เพราะตอนเย็นพวกเราไปช็อปปิ้งกันมา..อิอิ....แต่พอประมาณ 3 ทุ่ม เราก็เลยออกไป วัดสระเกศ (ภูเขาทอง) พอไปถึง ลานด้านล่างก็เต็มไปด้วยผู้คนที่จับจองที่นั่ง และถือสายสินธ์ที่ผูกโยงกันเต็มไปหมด บนบันไดทางขึ้นภูเขาทองก็เต็มไปด้วยคน...เยอะมาก...จากที่ไปคนเดียว เลยต้องตามรุ่นน้องไปที่วัดชนะสงคราม เผื่อจะได้ชนะทุกอย่างในปีนี้...ใช่ป่ะ...555
เราก็ออกจากวัดสระเกศ เพื่อไปวัดชนะสงคราม ซึ่งตรงข้ามถนนข้าวสาร แล้วแท๊กซี่ก็พาไปผิดทาง เราเลยต้องเดินผ่านถนนข้าวสารด้านหลัง เพื่อข้ามไปยังวัดชนะสงคราม กว่าจะผ่านไปได้...โห...เหมือนข้ามผ่านมารเลยอ่ะ...อย่าวอกแวก เพราะจริงๆ เราก็ตัดใจจากการไปดูคอนเสิร์ตพี่เจ เจตริน ที่ Slim มาขั้นหนึ่งแล้ว พอถึงวัดที่ตั้งใจ ก็เข้าไม่ถึง พอเปลี่ยนวัด กว่าจะเข้าถึงวัดชนะสงคราม...ขจัดมารเยอะชะมัด...555
พอถึงวัดชนะสงคราม ก็ไหว้สิ่งศักดิ์ที่นั่น คือ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ก่อน แล้วค่อยเข้าไปในอุโบสถ ซึ่งมี พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดมบรมศาสดา อนาวรญาณ ประดิษฐานในอุโบสถ การมากราบไหว้ที่นี่ หมายถึง การชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง เริ่มต้นจากพระท่านสวดมนต์ ตามพิธีกรรมที่เราก็ได้แต่พนมมือรับพร คิดสิ่งดีๆๆ ไปเรื่อยๆๆ คลอกับเสียงเพลงฝั่งตรงข้าม ซึ่งไม่สงสารคนมาทำบุญกันบ้างเลย และเราก็เลยถามคุณป้าที่เคยมา เค้าก็บอกว่าจะเริ่มต้นสวดมนต์จริงๆ ประมาณ เที่ยงคืนครึ่งจนถึงเช้า เรามองหน้ารุ่นน้องกัน แล้วก็คิดว่าจะไหวกันไหมอ่ะ เราก็รีบโทรบอกป๊ากับแม่ก่อน เพระเดี๋ยวเค้าจะเป็นห่วง เพราะไม่เคยกลับเช้านิ...555
แล้วก็ฟังพระท่านสวดมนต์ไปเรื่อยๆ จนพอใกล้เที่ยงคืน พระท่านก็จะให้ทุกคน นั่งสมาธิเจริญภาวนา แล้วแผ่เมตตา พอเที่ยงคืน ข้างนอกก็จุดพลุกันดังมาก พระท่านก็สวดมนต์ให้พรกับพวกเรากันไป พร้อมๆๆ เสียงพลุด้านนอก และหลังจากนั้นก็รับน้ำมนต์กันไป พอเสร็จพิธี ใครจะกลับก็กลับ ส่วนคนที่อยู่ก็คือ สวดมนต์กันจนถึงเช้า แล้วถึงจะมีการดับเทียนชัย และรับน้ำมนต์กลับบ้านได้ แต่ด้วยความที่เราไม่เคยมา และไม่ได้เตรียมตัวอะไรมา เราก็สวดมนต์ได้ถึงแค่ ตี 2 กว่าๆๆ แล้วก็กลับ ไว้ปีอื่นๆ ค่อยว่ากัน...พอกลับออกมา...โห! น่ากลัวจัง คนเมาเต็มเลยอ่ะ สภาพแย่ๆๆ รถแท๊กซี่ก็ไม่ค่อยมี จะเดินไปสี่แยกบางลำพู ก็ไม่ไหวนะ...หันไปเห็นคุณตำรวจที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ตรง สน.ชนะสงครามนั่นแหล่ะ..เลยเข้าไปขอความช่วยเหลือ ว่าจะเรียกรถตรงจุดไหนอย่างไรดี คุณตำรวจเลยบอกว่า ให้รอตรงนี้ เดี๋ยวแท๊กซี่มาจะเรียกให้ และก็มีแท๊กซี่มาจริงๆๆ คุณตำรวจก็เรียกและบอกว่าให้ไปส่งเราแถวลาดพร้าวหน่อย ...พี่คนขับแท๊กซี่ บอกว่า เรานี่เข้าใจหาตัวช่วยนะเนี่ย...แล้วเราก็มาถึงบ้านอย่างสวัสดิภาพ พร้อมส่ง SMS สวัสดีปีใหม่และเผื่อแพร่บุญให้ทุกคนได้อย่างสบายใจ กลับถึงบ้าน ป๊ากับแม่ ก็ตื่นมา เพราะงงว่าใครเข้าบ้าน ในเมื่อลูกสาวบอกว่าจะกลับเช้า เราก็เลยได้มอบบุญที่ปฎิบัติมาให้ป๊ากับแม่อย่างตั้งใจ
สุดท้ายเราขอเผื่อแพร่บุญอันเป็นกุศลนี้ให้กับเพื่อนๆ ญาติ พี่ น้อง และคนที่รู้จัก เจ้ากรรมนายเวร รวมถึงผู้ที่เข้ามาอ่านบทความนี้ด้วย ขอให้ทุกท่านรับผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ปฎิบัตินี้ ส่งผลให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญและพบเจอแต่สิ่งดีๆๆ เข้ามาในชีวิตตลอดปีและตลอดไป...และยิ้ม^_^ ได้กับทุกๆ เรื่องตลอดไปค่ะ...และในปีหน้า ถ้ามีใครว่างและสนใจ ก็ลองไปสวดมนต์ข้ามปี ข้ามผ่านชีวิตในปีที่ผ่าน เข้าสู่ชีวิตใหม่ในปีต่อไปด้วยธรรมะที่จะช่วยให้เรารู้สึกและสัมผสได้ถึงความสบายใจที่สุดเลยล่ะค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)