วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

แสงสว่าง..ปลายอุโมงค์

     ชีวิตคนเรามักพาผู้คนหลากหลายแบบมาให้เราพบเจอ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ก็แปลกนะคะ...คนที่เข้ามาในชีวิตเรามักจะเปลี่ยนไปในวันที่เรารู้สึกดีเสมอ..แต่มันก็มีคำบางคำที่มีความหมาย และอยากบอกว่า..รู้สึกดีที่ได้ยินคำๆนี้..มันไม่ใช่คำว่า "รัก" ไม่ใช่คำว่า "คิดถึง" แต่มันคือคำว่า..แสงสว่างปลายอุโมงค์..เรื่องราวมันเกิดขึ้นได้งัยนะเหรอ..
     เริ่มต้นจากเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เราก็สาวปาร์ตี้ตัวแม่ ไม่กินเหล้าแต่แดนซ์กระจาย อยู่มาวันหนึ่งมีคนมาบอกว่า..จะมีมือกีตาร์มาใหม่ หล่อมว๊าก สเปคเราไรงี้..เราก็ตอบว่า..รู้ได้งัยว่าสเปคเราเป็นแบบไหน..ถ้าไม่หล่อ..โดนแน่!!!
     และพอเราเจอพี่เค้าเท่านั้นล่ะ..บอกตรงๆๆ โลกใบนี้เหมือนมีแต่เรากับเค้า..และแล้วพี่ชายในกลุ่มเราก็จัดให้น้องสาวด้วยการไปบอกมือกีตาร์สุดหล่อคนนั้นว่า..ขอเบอร์หน่อย..มีคนสนใจและก็ชี้มาที่เรา..แต่พอพี่ชายเอามาให้เรากลับบอกว่ามือกีตาร์สุดหล่อฝากมาให้..หลังจากนั้นนะเหรอ..แม้จะมีความรู้สึกดีๆต่อกัน..ชีวิตก็ต้องดำเนินตามปรกติเพราะเค้ามีแฟนแล้ว ได้แต่มอบความรู้สึกดีๆให้กันในฐานะพี่ชายและน้องสาวที่แสนดีต่อกันเท่านั้น..จนที่ร้านปิดปรับปรุง ต่างคนก็ต่างมีทางของกันและกัน และเราก็มารับรู้ข่าวอีกที คือเค้าเลิกกับแฟนแล้วอ่ะ
    เรากับพี่เค้าก็เลยได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง ได้ทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาส..ทานข้าวกันเกือบทุกอาทิตย์ ไปทำบุญตามเทศกาลต่างๆ และได้ไปเที่ยวอัมพวาด้วย ตอนนั้นมีแต่คนบอกว่า..เหมือนเป็นแฟนกันเลย..เรามีความสุขได้อยู่ประมาณ 6-7เดือนมั้งแล้วก็ต้องมาช็อคและเจ็บแบบไม่ทันตั้งตัว พี่เค้าเงียบไป 2-3อาทิตย์ และก็ประกาศมีเมีย (ใช้คำนี้เลยนะคะ) ในวันเกิดของเค้า เราทำอะไรไม่ถูก ได้แต่แสดงความยินดี และก็ต้องถอยออกมา แล้วภาพที่เห็น มันเหมือนไม่ใช่พี่เค้าเลย แต่เราก็ทำได้แค่เพียงต้องยอมรับความเป็นจริงว่านั่นคือสิ่งที่พี่เค้าเลือกอ่ะค่ะ
     3 ปีผ่านไป..เราไม่เคยได้ข่าวพี่เค้าเลย fbพี่เค้าก็ไม่ได้เล่น พอถามเพื่อนๆพี่เค้า..ก็ตอบกันเป็นเสียงเดียวกันว่า..ไม่ได้ข่าวพี่เค้าเลย ติดต่อไม่ได้เลย..เราก็รู้สึกแปลกๆ และจู่ๆเราก็ฝันถึงพี่เค้า เลยตัดสินใจ เสี่ยงติดต่อไป กลับได้รับข่าวร้าย ชีวิตพี่เค้าแย่มาก เราก็ได้แต่บอกให้เค้าอดทน เพราะชีวิตคู่มันอาจมีปัญหา แต่เค้าก็ไม่ยอมบอกอะไร จนพี่เค้าทนไม่ไหว เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง..เราก็ได้แต่รับฟังและให้พี่เค้าสวดมนต์ แผ่เมตตา และทำใจให้สบาย บอกตรงๆสงสารพี่เค้ามาก แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะไม่อยากให้เค้าออกมาเพราะเรา แต่อยากให้เค้าออกมาเพราะตัวพี่เค้าเอง  คำพูดที่พี่เค้าบอกเราตอนนั้น คือ เราเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เป็นคำพูดที่อาจฟังดูเชยๆ สำหรับคนทั่วไป อาจดูเว่อร์ไปสำหรับคนที่ไม่รู้ความหมาย เพราะถ้าเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น..เราก็จะไม่รู้เลย..แต่สำหรับพี่เค้า..เราเข้าใจและรู้สึกดีมาก..ที่ได้ยินแบบนั้น..และสุดท้าย พี่เค้าก็ออกมาได้จริงๆ
   แล้วพี่เค้าก็ย้ายกลับไปอยู่บ้าน ซึ่งก็ไกลกันออกไปอีก แต่ก็แปลกที่ ไกลกันขนาดนั้น..แต่กลับรู้สึกดีต่อกันมากขึ้น..เราทบทวนความหลังในวันแรกเมื่อ 7 ปีที่แล้วที่เจอกัน พี่เค้าบอกว่า..เค้าเล่นกีตาร์บนเวที มันเหมือนมีแสงจากด้านล่างท่ามกลางฝูงชน เค้าบอกว่า..นั่นคือสายตาคู่หนึ่งของเรา..เราดีใจที่เราทั้งสองคนคิดถึงภาพในวันนั้นเหมือนกัน และเราก็คุยกันถึงเรื่องราวที่ดีๆหลายเรื่อง การทำบุญ การไปเที่ยว แม้ในช่วงเวลานั้นพี่เค้าจะยังไม่รู้จะทำอะไร ยังไงต่อ เราก็บอกให้พี่เค้าเริ่มจากสิ่งที่เค้ารักคือ กีตาร์ เพราะพี่เค้ามีพรสวรรค์นะ เราว่าน่าจะรุ่ง แต่เค้าบอกว่า..เด็กรุ่นใหม่เก่งๆหน้าตาดีเพียบ พี่เค้าก็เลยหันไปทำอย่างอื่นก่อน แต่เราก็ยังอยากให้พี่เค้าลอง แล้วพี่เค้าก็ได้เล่นดนตรีอีกครั้ง เริ่มเล่นจาก 1ที่ เป็น 2ที่ และเริ่มมีงานเรื่อยๆ จนเค้าเริ่มมีลู่ทางดีๆขึ้น แต่พี่เค้าก็ยังไม่หยุด หางานไม้ที่เคยทำต่ออีก จนแทบไม่มีเวลา..เราก็ภูมิใจและดีใจกับพี่เค้านะคะ..แต่ด้วยงานที่มากมาย สังคมและผู้คนที่เข้ามา..ทำให้วันนี้..เวลาที่มีให้กันมันน้อยลง จนแทบไม่มั่นใจว่า..แสงสว่างปลายอุโมงค์ที่พี่เค้าเคยบอก..มันยังเป็นเราอยู่ไหม..ชีวิตต่อไปจะเป็นเช่นไร คนพิเศษที่เค้าอยากจะมีโอกาสดูแล เค้ายังคิดแบบนั้นอยู่ไหม เมื่อก่อนเราอาจไม่คิดอะไรมาก แต่พอในวันที่เรามีปัญหา คำถามพวกนี้มันมาเต็ม บอกตรงๆ เราก็อยากมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้าง บางทีแค่ความห่วงใยที่มีให้กันทุกวันเหมือนเดิมมันก็น่าจะช่วยให้ชีวิตนี้ก้าวต่อไปได้อย่างไม่ยาก..
     แต่วันนี้..สิ่งที่เราได้รับ มันเป็นเพียงแค่การรอ รอ รอ และรอ เราไม่รู้ว่า..มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา คนที่แสนดีและรู้สึกดีต่อกันเค้ายังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม..เราไม่เคยคิดจะกดดันพี่เค้านะ..แต่บางทีคนเราก็ต้องการความมั่นใจบ้าง เราจะพยายามใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะถ้าเค้าเปลี่ยนไปในทางที่ดี เราก็ต้องดีใจ และยินดีกับเค้า..เพราะเท่ากับว่า..แสงสว่างดวงนี้ได้พาเค้าถึงปลายอุโมงค์แล้ว..แม้แสงสว่างนี้จะเจิดจร้าต่อไปหรือดับลงก็ตาม..มันก็คือความสำเร็จที่เราจะมีความสุขเมื่อเค้ามีความสุข แม้ในวันนั้นความสุขของเค้าจะเป็นเราหรือไม่ก็ยังไม่รู้.. มีคนเคยบอกว่า..ชีวิตของคนเราจะมีค่าก็ต่อเมื่อในวันที่เราเห็นคุณค่าของคนที่อยู่กับเราตลอดมามากกว่า ถ้าในวันที่เรามีความสุขมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว เรากลับไม่เห็นคุณค่าของใครอีกคน บางทีก็ต้องปล่อยกันไปนะคะ  เพราะเท่ากับว่านั่นคือการดูถูกคุณค่าในตัวของเองไปแล้วอ่ะค่ะ..ชีวิตมันต้องก้าวต่อไป มีความสุขกับคนที่เห็นคุณค่าในตัวของเราดีที่สุดค่ะ..
     วันนี้เรายังอยู่ตรงนี้ แต่เราไม่รู้ว่า..ในวันที่พี่เค้าคิดได้ว่า..แสงสว่างดวงไหนเหมาะกับเค้า บางทีแสงสว่างดวงนี้อาจไปไกลจากเค้าแล้ว..ไม่ใช่เพราะระยะทาง ไม่ใช่เพราะแสงสว่างนี้หมดไป..แต่เป็นเพราะพี่เค้าไม่เห็นแสงสว่างนี้ในชีวิตของพี่เค้าในวันที่พี่เค้ามีความสุขเลยต่างหาก..พอวันนั้นสำหรับเราคงต้องกลับมาถามตัวเองอีกทีว่า..รู้สึกอย่างไร..จะยังเหมือนเดิมต่อไปได้หรือเปล่า?????

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รักแท้..แพ้ไม่รัก

    ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอ..ไม่มีความรักไหนที่ทำร้ายเรา..มีแต่การไม่รักกันต่างหากที่ทำร้ายเรา..ชีวิตที่ผ่านมาเราก็เคยเจอความรักทั้งที่ดีและไม่ดี..และพอคิดจะเริ่มอะไรกับใครใหม่..ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตนั้นมีหลากหลายแบบ..
   และเมื่อ 6 ปีที่แล้วเราก็ได้เจอผู้ชายคนหนึ่งที่เราเคยได้แต่มองกันไปมาเป็นปีๆ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คุยหรือได้รู้จักกัน..เขาเป็นผู้ชายสูงขาว ตี๋ๆ ชอบใส่เสื้อเชิ้ตขาว กางเกงยีนส์..ทุกครั้งที่เราเจอเค้า
   หลังจากนั้นอีกเกือบปี..วันหนึ่งเมื่อ 5 ปีก่อน..เราก็ไปเที่ยวตามปรกติ..และก็เจอเค้าแต่ก็ไม่ได้คิดอาราย รอยยิ้มที่เห็นแล้วมีความสุขทุกครั้งที่เจอ  แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น พอรุ่นพี่เรามาถึง เค้าก็เข้ามาทักทาย เค้ารุ้จักกัน และเราที่ยืนอยู่ข้างหลังเค้าแทบช๊อค..เค้ารู้จักรุ่นพี่เรา ใกล้ตัวมว๊ากกกก..และเค้าก็พากันไปคุยที่โต๊ะ..สักพักก็พากันมาแนะนำให้เรากับเค้าได้รู้จักกัน..คุยกันได้สักพัก รุ่นพี่เราก็ขอเบอร์เราให้เค้า เราก็บอกว่า..ทำไมเค้าไม่มาขอเอง เค้ามาจริง ขอตรงๆ เราก็เลยให้ ซึ่งก็คิดว่าไม่มีอะไร แต่คืนนั้น..เราสองคนเหมือนรู้จักกันมานาน..คุยเล่นกัน จนคนแถวนั้นอิจฉา คิดว่าเป็นแฟนกันจริงๆ..ความสุขมันก็สั้น หมดเวลาของซินเดอเรล่าล่ะ..เราได้เวลากลับบ้าน..ตอนแรกเค้าก็จิไปส่ง แต่เราเห็นว่าเพื่อนเค้าก็ยังอยู่..เค้าก็เดินไปส่งข้างนอก ซึ่งเราก็คิดว่า..มันคงเป็นแค่ความฝัน และเป็นฝันดี ที่ครั้งหนึ่งมีผู้ชายที่เราก็รู้สึกดีมาขอเบอร์ และได้คุย ได้รู้จักกัน..เท่านั้นมั้งงงง
   พอวันรุ่งขึ้นก็มีเบอร์แปลกๆโทรมา กลายเป็นเค้าอ่ะ..เราก็งงง เค้าบอกว่า..ไม่ดีเหรอ..เราจะได้มีเบอร์เค้าทั้งหมด..เราคุยกันหลายเนื่อง คุยกันทุกวัน คุยกันเป็นชั่วโมง เจอกันทุกวันศุกร์ที่เดิมของเราสองคน..ที่เวลาเจอกัน แม้คนจิมากมาย แต่ก็เหมือนที่ตรงนั้นมีแค่เรา เวลาผ่านไปนั้น 6-7 เดือนที่เค้าหยอดคำหวานมาตลอด สุดท้ายความจริงก็ปรากฏ..เมื่อเค้าเริ่มเงียบหายไป แล้วภาพคู่ของเค้ากับผู้หญิงที่เค้าบอกว่า..ไม่มีทางที่จะแต่งงานด้วยได้..เค้าไปถ่ายภาพงานรับปริญญาโทในวันซ้อม แต่กลับเหมือนภาพPreweddingเลยย..เราก็ต้องถอยออกมา โดยไม่ถามอาราย เราเงียบไปเป็นเดือน จนปีใหม่ เราก็ส่งข้อความอวยพรปีใหม่ปรกติ แล้วเค้าก็เป็นคนแรกที่ส่งกลับมาให้เรา หลังจากนั้น เราก็คุยกันเรื่อยๆ จนพอมาปีหลังมานี้..เราเริ่มรู้แล้วว่า..รอไปก็คงไม่มีประโยชน์ คงเป็นได้แค่เพื่อน แต่ทุกครั้งที่เรามีปัญหา เค้าจะมีวิธีการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเราแบบสร้างกำลังใจให้เราผ่านพ้นปัญหามาได้ตลอด..จนหลังๆเราก็ยอมรับว่า..คงคิดกันได้แบบเพื่อน เพราะผู้หญิงคนนั้นเริ่มมีตัวตนที่ชัดขึ้น
   หลายปีต่อมา..จนกระทั่งวันหนึ่งเรื่องราวที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เราไปเที่ยวกับเพื่อนแถวพัทยา แล้วเค้าโทรเข้ามาด้วยเสียงสั่นๆแบบต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งการได้รับสายเค้า เราน่าจะดีใจสิ..แต่ครั้งนั้น เรารู้สึกแย่ไปกับเค้า เพราะผู้หญิงคนนั้นอยู่กับผู้ชายอีกคนที่รีสอร์ทแถวพัทยา แต่เขานั้นอยู่ต่างจังหวัด เค้าแทบจะขับรถกลับมา แต่เราห้ามไว้ แล้วบอกให้เค้าใจเย็นๆ ซึ่งเราก็เสียใจไปกับเค้าด้วย ซึ่งเราก็คุยกับเค้าตลอดทาง และเกือบทั้งคืน เค้านอนไปนิดเดียว พอสว่างก็รีบกลับมาเคลียร์  ผู้หญิงบอกว่าต้องการไปจบกับผู้ชายคนนั้น ทั้งๆที่กำลังจิเป็นวันเกิดของเค้า เค้าเศร้าและเสียใจมาก สุดท้ายก็เลิกกัน เราก็ได้แต่ปลอบและคอยให้สติ ซึ่งเราก็แอบคิดนะ..ว่าการรอของเรา อยู่เพื่อปลอบใจเค้าในวันที่เค้าเจ็บสุดๆๆน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดดในตอนนั้น ผ่านมาประมาณเดือน..ผู้หญิงคนนั้นก็กลับเข้ามา..เราโกรธเค้ามาก ที่ให้อภัยกับคนที่ทำร้ายตัวเองขนาดนั้น กลืนน้ำลายตัวเองชัดๆ แต่เราก็ต้องปล่อยเขา เพราะเขาบอกเราว่า..จะเป็นแค่เพื่อนกับผู้หญิงคนนั้น เราก็พอเข้าใจนะ..แต่พอเค้าเริ่มแข็งแรง เค้าก็เริ่มมีสาวๆเข้ามา จนเราเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่า..จะอยู่ตรงนี้ในฐานะอะไร..เพราะคนที่ทำเค้าเจ็บเค้ายังให้อภัย แถมยังมองหาคนใหม่ๆ แล้วคนๆนี้ที่อยู่กับเค้าเสมอ และไม่เคยทำร้ายเค้าสักครั้ง..มันคืออะไร เราทำใจ และรอเวลาที่เราอยากเห็นเค้าเข้มแข็งมากกว่านี้ แม้จะเป็นได้แค่เพื่อนเราก็ยอม
    แต่สิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับเรา เค้าหรือใครก็ไม่รู้ unfriend เราใน fb..เราโกรธและเสียใจมาก..เพราะทำไมเค้าต้องทำแบบนี้ ทำร้ายจิตใจและความรู้สึกกันทำไม แม้คำว่าเพื่อน เราก็ให้กันไม่ได้หรืออย่าง แต่ก็ยังอยากรับรู้เหตุผลจากเค้า..เรารอโอกาสสุดท้าย มันคือเมื่อวานวันเกิดเค้า ซึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเงียบหาย จนเราต้องบอกกับตัวดองแล้วว่า จากนี้ไป..เราจะยอมรับความจริง..ว่า..ไม่ว่าเมื่อไหร่ สถานการณ์ใดๆ จะอยู่ในฐานะไหน..เค้าไม่เคยคิดกับเรามากกว่าคำว่าเพื่อน และที่สำคัญ..เราต้องจำไว้ว่า..เค้าไม่เคยรักเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว..ที่ผ่านมา..ความดีของเรามันไม่เคยมีค่าสำหรับเค้าเลย..เค้าเคยมีเราตลอด.. แต่เราไม่เคยมีเค้าเลยสักครั้ง ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆและไม่ดีที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน.. วันนี้มันจะเป็นแค่ความทรงจำ..ตลอดไป ขอบคุณความไม่รักที่ทำให้รู้ว่า..รักแท้ที่แค่อยากเห็นเค้ามีความสุขมันมีค่าแค่ไหน..ขอบคุณนะคะ..ตาบ๊อง^_^

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เท้าที่ก้าวมาไกลเกินครึ่งชีวิต

นานแล้วสินะ...ที่เราไม่ได้เขียนบล็อค...ครั้งนี้ก็เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ก็วันแม่แห่งชาติที่ผ่านมา เราก็ตื่นไปใส่บาตร ไหว้พระ ที่วัดแถวบ้านเหมือนอย่างทุกปี และก็ไม่ลืมที่จะหาดอกมะลิสวยๆมาให้แม่เหมือนทุกครั้งที่ทำอ่ะค่ะ พอกลับถึงบ้าน เราก็เตรียมพวงมาลัย เตรียมน้ำอุ่นโรยดอกมะลิและกุหลาบ รอแม่ตื่นลงมาเพื่อขอขมาขออโหสิกรรมในสิ่งที่ทำไม่ดีต่อกัน และขอพร..เราก็มอบพวงมาลัยดอกมะลิ พร้อมก้มกราบแม่อย่างทุกครั้ง แล้วก็ล้างเท้าให้แม่ นวดๆไปมา สัมผัสได้ถึงเส้นตึง อาการปวดส้นเท้าของแม่ เราก็ให้ท่านแช่น้ำอุ่นสักพัก พอน้องชายลงมากราบแม่ น้องเราก็พอมีฝีมือ..ล้างเท้าเสร็จก็นวดเส้น แช่น้ำอุ่น น้ำเย็น น้ำอุ่น แม่ก็รู้สึกดีขึ้น น้องชายเราก็จับนวดทั้งตัว..แม่ก็รู้สึกสบายตัวขึ้น เท่านี้อาจดูเหมือนเล็กๆน้อยๆที่เราทำ แต่ขอแค่ให้เราได้ทำให้ท่านเถอะค่ะ
      บางคนบอกว่า..เห็นหน้าแม่ทุกวัน ท่านก็มีความสุขดี  แต่เราเคยมองที่เท้าท่านกันบ้างไหมค่ะ ก้าวทุกก้าวที่ท่านเดิน เท่าที่เดินผ่านอะไรต่ออะไรมาเกินครึ่งชีวิต เหยียบสิ่งต่างๆมามากมาย เพื่อจะก้าวผ่านมันไปให้ได้...ลองก้มมองกันดูสักนิด และที่สำคัญก้มลงกราบเท้าท่านกันสักครั้งหรือยัง กอดท่านกันสักครั้งรึป่าว บอกรักท่านกันบ้างไหม ทำสิ่งดีๆเหล่านี้เถอะนะคะ ไม่ใช่เพื่อบุญกุศลใดๆ หรอกนะ..แต่ที่ให้ทำเนี่ย..เพื่อผู้หญิงที่ให้กำเนิด อดทนทุกๆอย่าง และเหนื่อยมาเกือบครึ่งชีวิต และรักคุณที่สุด  ในหลายครั้งๆเราอาจโหยหาความรักจากหลายๆคน ต้องการอ้อมกอดของบางคน แต่อยากบอกทุกคนว่า..อ้อมกอดของแม่อุ่นที่สุดแล้วล่ะค่ะ มันเหมือนสิงมหัศจรรย์ที่เราไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง เพราะก็กอดเล่นกันเสมอ แต่ล่าสุด เราไม่สบาย ซึ่งจู่ๆก็มีอาการหนาวสั่น ไข้ขึ้นแบบไม่ลดเลย ทานยาก็แล้ว เช็ดตัวก็แล้ว เสื้อผ้าหนาๆ ผ้าห่มหลายผืน แต่มันหนาวข้างใน สั่นอยู่ตลอด จนที่บ้านกำลังจะเรียกรถพยาบาลแล้วล่ะค่ะ แต่ด้วยความเป็นแม่ที่ไม่อยากเห็นลูกทรมาน ไม่รู้จะทำอย่างไร แม่ก็เอาตัวเองเข้ามาอยู่ในผ้าห่มแล้วกอดเรา..จากที่สั่นๆอยู่ ค่อยสงบนิ่ง จนเราหลับไป..บอกตรงๆว่า..มันอุ่นทันตาจริงๆนะคะ..พลังความรักของแม่ทำให้เราดีขึ้นแบบไม่ต้องไปโรงพยาบาล..นี่แหล่ะค่ะ..พลังความรักบริสุทธิ์ที่คงหาไม่ได้จากที่ไหนแล้ว...จริงๆๆนะคะ
     อย่างในวันแม่ปีนี้ ที่บ้านเราก็ทำอาหารทานกันในบ้านปรกติ และรอน้องสาวคนเล็กกลับจากเข้าค่าย ซึ่งต้องไปรับ เท้าของแม่ก็ยังไม่หายดี แต่ก็ไม่ยอมบอก จะไปรับด้วย ไปนั่งรอเพื่อไม่อยากให้ลูกลำบาก รับน้องเสร็จก็รีบกลับ เพราะไม่อยากให้เดินเยอะ และพอกลับมาที่บ้าน ด้วยความที่ฝีมือทำอาหารเป็นเลิศ จึงไม่อยากออกไปต่อคิวทานอาหารใดๆๆ แต่วันแม่ทั้งที่ ในเมื่อแม่ชอบทุเรียน แต่ลูกๆไม่ทาน มีไอศกรีมทุเรียน โฆษณามาหลายวันก็เปรยมา ลูกๆก็เลยพาไป แต่พอถึงร้าน ไอศกรีมทุเรียนหมด แต่ก็ทานอย่างอื่นแทน ไปเดินเล่นงานวัดแถวบ้านกันต่อ เห็นลูกๆเล่นเกมก็ยืนยิ้มยืนหัวเราะ...เราเลยเก็บภาพไว้..หลายครั้งที่เราซื้อขนมที่แม่ชอบมาให้แล้วแม่ทานด้วยความอร่อย..เราก็จะมีความสุข หลายครั้งที่เรายิ้มได้เมื่อเห็นแม่ยิ้มหรือหัวเราะ..และนี่ก็เป็นอีกครั้ง..
     นี่ใช่ไหม่ค่ะ..รางวัลแห่งความสุข ซึ่งในหลายคนอาจจะไม่ได้สัมผัส..ถ้าวันนี้เราไม่เริ่มทำสิ่งดีๆให้ท่าน โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ทำดีกับคนที่คุณรักและรักคุณอย่างคุณแม่และคุณพ่อกันเถอะนะคะ อย่าไปเขินอายกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ เพราะถ้าเราไม่ทำ..เราอาจไม่มีโอกาสมาเขินอายก็ได้นะคะ..อย่ามองหาความรักที่ไกลตัว..เพราะความรักนั้นอาจไม่มีอยู่จริง..แต่ความรักที่แท้จริง..กับอยู่กับมือและเท้าที่อยู่นิ่งที่บ้านของเรานี่แหล่ะค่ะ..เท้าที่ก้าวมาไกลเกินครึ่งชีวิต..กราบพระในบ้านกันด้วยนะคะ แล้วความสุขจะเกิดขึ้นกับตัวเราเองค่ะ^_^