ในวันเกิดหรือวันคล้ายวันเกิด..สำหรับคนอื่นๆ เราไม่รู้ว่าสำคัญมากน้อยแค่ไหน..แต่สำหรับเรานั้นมันสำคัญที่สุด...เพราะวันเกิด เป็นวันที่เรารู้สึกว่า..นั่นคือตัวตนของเรา แล้วถ้าใครลืมวันเกิดเรา เค้าก็คงลืมเราไปด้วยนั่นแหล่ะ..เราว่านะ..เพราะคนทั้งคน ถ้าสำคัญ...แค่วันเกิดก็ต้องให้ความสำคัญไม่ต่างกันสิค่ะ
แต่สำหรับของขวัญนั้น..เรากลับคิดว่ามันยังไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะแค่คุณไม่ลืมวันเกิดของคนสำคัญ นั่นก็เป็นของขวัญที่มีค่าสำหรับคนนั้นแล้วล่ะคะ่ และยิ่งถ้าคุณมีเวลาอยู่กับเขา หรือมีของวัญให้เขาอีกล่ะก้อ...เขาคนนนั้นยิ่งมีความสุข และรู้สึกดีมากมายแน่นอนค่ะ
ของขวัญ..หนึ่งชิ้น จะแสดงความใส่ใจและความเป็นตัวตนของคนอีกคนหนึ่งได้ดีทีเดียว และการเลือกของขวัญจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งใครหลายๆ คน อาจคิดหนักว่า..จะเลือกซื้ออะไร คนๆ นั้นจะชอบไหม จะใช้ของขวัญที่ให้ไปรึเปล่า สำหรับการเลือกซื้อให้สาวๆ อาจไม่ยากนัก เพราะของสวยงามมากมาย แต่สำหรับหนุ่มๆ..นี่สิค่ะ..เพราะของที่หนุ่มๆ ใช้นั้นมันมีให้เลือกไม่มาก จะเลือกอะไรที่เป็นความหมายดีๆ..ก็ไม่รู้ว่ารับไปแล้วจะเข้าใจในความหมายไหม จะให้ของที่เรามองว่าดีว่าเหมาะสมกับเขา...ก็ไม่รู้อีกว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร จะให้ในสิ่งที่เขาชอบก็ช่างหายากเหลือเกิน เพราะเราก็ยังรู้จักกันไม่มากพอ และบางที...ของขวัญต่างๆ เหล่านั้น..คนให้อาจคิดไปไกล แต่สำหรับคนรับนั้นเขาอาจไม่ได้คิดอะไร...แค่ได้รับและรับรู้ถึงความตั้งใจ เขาก็อาจรู้สึกดีแล้วสินะคะ
เหมือนเราที่พยายามเลือกสรรของขวัญสักชิ้นให้คนของกำลังใจ...คิดว่าเป็นสิ่งที่เค้าน่าจะชอบและจะได้ใช้ของขวัญชิ้นนี้ด้วย...คิดๆๆๆ เดินหาจากหลายๆ ที่ แต่เจ้ากรรม..เค้าดันซื้อของที่เหมือนกันเป็นของขวัญให้ตัวเองไปซะแล้ว...ทำงัยดีล่ะที่นี้...ทำให้เรารู้สึกเสียใจที่ให้ของขวัญเค้าช้าเกินไป..และก็กลัวว่าเค้าอาจจะไม่ใช้อีกด้วยรึเปล่า....ก็ของมันซ้ำกัน แถมราคาของขวัญเค้ากับของเราก็ต่างกัน...เครียดสิค่ะ ทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว สถานการณ์ในวันนั้น เค้าอุตส่าห์จะพาเราไปทานไอศกรีม ดูหนัง ซึ่งได้มีเวลาอยู่ด้วยกันแท้ๆ แต่เราก็กลับรู้สึกแย่ตั้งแต่เห็นเค้าหยิบของชิ้นใหม่มาใช้...ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้ให้เค้าเลย...ความกลัวบังเกิดมากมาย คิดไปต่างๆ นานา ที่สำคัญคือใคร???....ใครซื้อให้เค้าเนี่ย...ทำให้เราเริ่มไม่ค่อยสนุกแล้วสิ แต่ก็ดีที่ยังมีบรรยากาศในโรงหนังที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายความกังวลได้บ้าง...แต่พอถึงเวลาที่จะให้เค้า...เรากลับบ่อน้ำตาแตกโดยไม่รู้ตัว...ไม่ได้ดราม่า ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน...มันแค่คิดว่า...ทำไมเราต้องให้เค้าช้าเกินไป..ยังจะมีอะไรที่ช้าเกิดขึ้นอีกไหม...แค่เจอกันช้าเกินไป..นี่ยังไม่พออีกหรือ..????
แต่ยังดีที่พอเค้าได้รับ...เค้าก็ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิด และบอกเราว่า...ไม่ต้องเสียใจนะ..สัญญาจะสลับใช้..เซอร์ไพร์สเลยที่ซื้อของเหมือนกัน...ใจตรงกันเลยนะ...เท่านั้นล่ะค่ะ...เรารู้สึกว่า..ความตั้งใจของเรามันไม่สูญเปล่า...เค้าเห็นค่าความตั้งใจของเรา ซึ่งเราไม่รู้หรอกนะคะ..ว่าเค้าจะทำอย่างที่พูดได้รึเปล่า..แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกดีแล้วล่ะค่ะ...บางทีการรักษาน้ำใจคนให้มันก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกันนะคะ...เพราะนั่นหมายถึงเค้าก็ยังแคร์ความรู้สึกของเรา ไม่ใช่ไม่สนใจอะไรเลย ถ้าแบบนั้นคงไม่ไหว..และคงเสียใจมากกว่านี้แน่ๆ เลย
ของขวัญ..หรือของฝาก ของที่เรามอบให้ใครสักคน..มันจะแทนตัวเราเองได้ในมุมๆ หนึ่ง ที่จะสะท้อนให้คนอีกคนรู้ว่า...คุณและเค้ามีความหมายมากกมายเพียงใด... ของทุกๆ ชิ้นที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กันนั้น..ไม่ว่าจะมีราคามากน้อยแค่ไหนก็ตาม...แต่คุณค่าของมันนั้นมากมายเสมอ เพราะมันเกิดขึ้นจากความตั้งใจมอบสิ่งดีๆ ให้แก่กัน บางที บางสถานการณ์ของขวัญก็อาจไม่ใข่สิ่งสำคัญเสมอไป...เวลา หรือความเข้าใจ ความใส่ใจในความรู้สึกกันนั้นมีค่ามากกว่าเสมอ....แค่ทำสิ่งดีๆ ให้แก่กัน ไม่ว่าจะแสดงความห่วงใย พูดจาดีๆ ต่อกัน หรือใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันให้มากที่สุด เพื่อวันหนึ่งเราจะไม่เสียใจที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะเมื่อถึงวันที่เราไม่รู้ว่า...จะเกิดอะไรขึ้น ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน อาจมีจากเป็นหรือจากตาย...ก็ตาม
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นของขวัญ เวลา หรือความรู้สึกใดๆ มันก็จะมอบให้แก่กันไม่ได้ล่ะค่ะ ทำดีต่อกันในวันที่เรายังมีกันและกันอยู่ข้างๆ กันดีกว่านะคะ เมื่อมือที่เริ่มจับกันแล้วก็จับกันไปให้ตลอดอย่าปล่อยในวันที่เราอาจไม่เข้าใจหรือมีปัญหากัน...แล้วเจ้าความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันก็จะค่อยๆ กลายเป็นความรักที่ยึดเหนื่ยวเราไว้...เพื่อให้ชีวิตของคนสองคน..มีความรักในแบบที่คนสองคนต้องการจริงๆๆ...ขอบคุณสิ่งดีๆ ที่มอบแก่กันในช่วงเวลานี้...ขอบคุณค่ะ...คนของกำลังใจ^_^
tu-tujung
วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559
คนของกำลังใจ..กับโปรเจ็คง้อ @บางกะเจ้า
ในวันที่คนสองคนมีปัญหาไม่เข้าใจกัน..ทำให้เราต้องห่างกัน..ไม่ได้คุยกัน..แต่เมื่อในความห่างนั้น..ทำให้เราสองคน..รู้สึกแปลกๆ ที่จู่ๆ คนเคยคุยกันทุกวัน ถามไถ่ชีวิตในแต่ละวันกัน...ต้องหายไป โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนอีกคนหนึ่ง
และเมื่อคนๆ หนึ่งยอมที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา และรู้ว่ามีคนงอนและเงียบหายไป..คนอีกคนก็ต้องลดทิฐิและยอมบอกเรื่องราวที่ทำให้เกิดปัญหา โดยเราต้องเปิดใจคุยกันและรับฟังในสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อคนๆ นั้น เค้ารู้ตัวว่า..เค้าทำให้เรางอน การอภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในการอภัยนั้น ต้องมีวิธีการเพื่อให้เค้าจดจำแล้วมันต้องไม่เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นอีก ไม่ใช่ง้อด้วยคำว่า "ขอโทษ" แล้วก็จบ
เพราะไม่อย่างนั้นการให้อภัย ก็คงไม่มีความหมายอะไร เพราะเราต้องทำให้เค้ารับรู้ถึงปัญหาที่เกิดแล้วแก้ไขเรื่องนั้นๆ แล้วต้องง้ออย่างไรนะเหรอ ก็ในเมื่อเค้าทำเรื่องไหนให้เป็นปัญหา เค้าก็ต้องแก้ไขในจุดนั้น ดังนั้น "โปรเจ็คง้อ" จึงเกิดขึ้น
ปัญหามันมีอยู่ว่า..เค้าคนนั้นทำงานจนไม่มีเวลา..พอมีเวลา..มีวันหยุด..เค้าก็ใช้ไปกับเรื่องราวของตัวเอง..จนลืมว่า..มีคนอีกคนที่เค้าควรใส่ใจบ้าง และยิ่งในวันที่มีปัญหา ผู้หญิงทุกคน..ต้องการคนข้างๆ ที่สุด..บางทีขอแค่ชั่วโมงเดียว หรือนาทีเดียว..เพื่ออยู่กับเธอ...ทุกอย่างก็จะดีขึ้น แต่คุณผู้ชายกลับไม่คิดอย่างนั้น..ผู้ชายมักคิดว่า..ก็รับรู้ปัญหาและให้กำลังใจแล้วนิ..เธอคงอยากอยู่คนเดียว..แต่นั่นคือเชื้อเพลิงดีๆ เลยล่ะค่ะ...เพราะเธอจะคิดอะไรต่างๆ นานามากมากมาย โดยที่คุณผู้ชายก็ไม่รู้เลย
โปรเจ็ค "ง้อ" มันจะเกิดขึ้นอย่างไรนะเหรอ...ก็ในเมื่อไม่มีเวลา ก็ต้องหาเวลา พาเราไปในที่ๆ เราอยากไปสิค่ะ โดยต้องรู้ว่า เราอยากไปไหน..และจัดการทั้งหมดด้วย.. เค้ารู้ว่าเราอยากไปบางกะเจ้า และเค้าต้องนำทางและจัดการทุกอย่าง เรามีหน้าที่ไปสัมผัสให้ได้ถึงการง้อในครั้งนี้ แต่ก็นั่นแหล่ะ..การจัดการของผุ้ชาย อาจไม่มีอะไรเลิศหรู แต่เราก็แค่ความตั้งใจก็พอ เพราะจริงๆ แค่เค้ารู้ว่าจะง้อยังไง เราอยากไปที่ไหน ยอมพาเราไป ให้เราทำในสิ่งที่เราอยากทำ...เท่านี้มันก็มีค่าพอสำหรับการให้อภัยแล้วล่ะค่ะ
และแล้วโปรเจ็คง้อ...ก็เริ่มเมื่อปลาย พ.ค.ที่ผ่านมานี้ เราเดินทางไปบางกะเจ้า เพื่อไปรับโอโซน ปั่นจักรยาน ซึ่งมันอาจไม่ได้โรแมนติกอะไร แต่มันเป็นสถานที่ที่เราจะได้สร้างความทรงจำดีๆ ใหม่ๆ ร่วมกันต่างหาก...เริ่มด้วยเค้ามารับเราที่บ้าน แล้วก็เอารถไปจอดที่ทำงานเค้า แล้วก็นั่งรถไปที่วัดคลองเตยนอก เพื่อขึ้นเรือ ซึ่งเป็นเรือเพื่อข้ามฟากไปอีกฝั่ง เราไม่เคยนั่งเรือหางยาวลำเล็กอย่างนี้ เราไปกันสองคน เรานั่งข้างหน้า เค้านั่งข้างหลัง..ก็รู้สึกอบอุ่นอีกแบบ และชิลล์มากมายกับการนั่งเรือแบบนี้ข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา และพอไปฝั่งเราก็เลือกที่จะปั่นจักรยานคนละคัน เพราะคิดว่าเส้นทางมันไม่น่าไกลมาก ทั้งๆ ที่เราไม่ปั่นนานมากถึงมารกที่สุด แต่เราก็จะลองดู
การปั่นจักรยานอีกครั้งในชีวิตก็เริ่มขึ้น เค้าให้เราปั่นนำหน้า เค้าปั่นตามหลัง ซึ่งก็จะมีเสียงมาเป็นระยะว่า..ระวังรถครับ อย่าปั่นกลางถนน ปั่นชิดริมหน่อย อย่าเบรคเวลาขึ้นเนิน..ซึ่งมันก็รู้สึกดีนะคะ แต่ไม่รู้ว่าเค้าแอบรำคาญรึป่าว เพราะเราก็นำแบบหลงๆๆ ตลอดๆๆ ไปหลายที่ เริ่มจากตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ไปหม่ำก๋วยเตี๋ยวเรือ และเดินเล่นกัน และก็ตั้งใจจะไปบ้านธูปสมุนไพร กับบ้านผ้ามัดย้อม ก็หลงทาง เลยไปที่ Bangkok Tree House ก่อนเส้นทางอย่างแคบ ต้องอาศัยการทรงตัวเป็นอย่างมาก เราก็พักดื่มกาแฟและทานขนมกัน ตากแอร์ ถ่ายรูปกันที่นั่น และออกมาเพื่อจะไปบ้านผ้ามัดย้อมให้ได้ แต่ก็เลยทางเข้าอีก งั้นก็ไว้โอกาสหน้า เราเลยไปพิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย และสวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์
การท่องเที่ยวในครั้งนี้ เรามองว่ามันเหมือนการเดินทางบนเส้นทางชีวิต ที่เราอยากบอกว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรสวยงาม ไม่เรียบง่าย อาจมีอุปสรรค เจอทางที่ไม่สะดวกสบาย เหนื่อยล้าก็พัก เมื่อยกับการปั่น เจ็บตัวบ้าง หลงทางบ้าง และระหว่างทางมันก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย..แต่เราก็จะถึงจุดหมายปลายทาง และในเส้นทางทุกเส้นทาง..ถ้าเราเดินทางเพียงลำพัง ถ้าเราเหนื่อย เราท้อ เราอาจหยุดหันหลังกลับแล้วไม่ไปต่อ....แต่พอเรามีคนอีกคนหนึ่งร่วมเดินทางไปด้วยกัน มันกลับทำให้เรารู้สึกว่า เรามีคนอีกคนรอเราอยู่ เรามีคนของกำลังใจ ซึ่งเป็นคนที่ทำให้เส้นทางการเดินทางนี้สวยงามและมีความหมายมากขึ้น เค้าคอยอยู่ข้างหลัง และอยู่ข้างๆ เราที่พอเราหันไปเห็นความพยายาม ความอดทน ที่ไม่ว่าเค้าจะร้อน จะเหนื่อย จะเมื่อย จะต้องคอยปั่นจักรยานตาม คอยบอกทาง หลงไปด้วยกัน ที่สำคัญไม่ทิ้งเราในช่วงเวลาที่เราล้า และส่งเรากลับบบ้านอย่างปลอดภัย...เท่านี้..เราก็มีความสุขแล้วล่ะค่ะ
จริงๆๆ ก็มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น คือตอนขากลับ เราปั่นจนขาล้า ก็เลยให้เค้าปั่นนำไปก่อน ซึ่งเค้าก็คงชิลล์ แต่พอเค้าหันมาเห็นเราอยู่ไกลๆ เค้าก็ปั่นวนกลับมาหา แล้วให้เราปั่นนำหน้าเหมือนทุกครั้ง ทั้งๆ ที่นั่นคือใกล้จะถึงท่าเรือ ซึ่งยังไงก็ไม่หลงหรอก แต่เค้าก็ทำแบบนั้น..เค้าก็ไม่ทิ้งเรา ทำให้เรารู้สึกว่า..มันเป็นการมาที่คุ้มค่าอีกอย่างหนึ่งนะ
เราไม่รู้หรอกว่า..เราจะรู้สึกดีไปคนเดียวรึป่าว เราไม่รู้ว่าความรู้สึกในวันนี้มันคืออะไร เรารู้แต่เพียง..เค้าคือคนของกำลังใจที่ทำให้การให้อภัยในครั้งนี้มีค่าและมีความหมายมากมายแล้วล่ะค่ะ...ทั้งๆ ที่จริงๆ การง้อในครั้งนี้..มันผ่านตั้งแต่..เค้ารู้ว่าเราอยากไปที่ไหน และบอกเราว่า..ไม่คิดว่าเราจะเงียบหายไปนานขนาดนี้..นั่นมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าช่วงเวลาที่เราหายไป..เค้าคงยังคิดถึง และเราน่าจะมีความหมายกับเค้าอยู่บ้าง..และสำหรับวันนี้...เค้าก็เป็นคนของกำลังใจที่อยู่ในความาทรงจำดีๆ ในวันนี้ไปแล้วล่ะค่ะ และที่สำคัญมันทำให้เรารู้ว่า การมีคนข้างๆ มาร่วมสร้างความทรงจำนั้นมันดีแค่ไหน ทริปนี้อาจทั้งเหนื่อย ทั้งลำบาก แต่มันก็ทำให้เราผ่านมันมาได้..ความสวยงามของของการเดินทางที่มีคนของกำลังใจมันทำให้ชีวิตเรามีความหมายมากขึ้น และเราอยากให้มันมีสิ่งดีๆ ที่เราร่วมกันสร้าง และเดินทางไปด้วยกันอย่างนี้ตลอดไปจัง..ขอบคุณอีกครั้งนะคะ...คนของกำลังใจ^_^
*********************************************************************
และเมื่อคนๆ หนึ่งยอมที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา และรู้ว่ามีคนงอนและเงียบหายไป..คนอีกคนก็ต้องลดทิฐิและยอมบอกเรื่องราวที่ทำให้เกิดปัญหา โดยเราต้องเปิดใจคุยกันและรับฟังในสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อคนๆ นั้น เค้ารู้ตัวว่า..เค้าทำให้เรางอน การอภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในการอภัยนั้น ต้องมีวิธีการเพื่อให้เค้าจดจำแล้วมันต้องไม่เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นอีก ไม่ใช่ง้อด้วยคำว่า "ขอโทษ" แล้วก็จบ
เพราะไม่อย่างนั้นการให้อภัย ก็คงไม่มีความหมายอะไร เพราะเราต้องทำให้เค้ารับรู้ถึงปัญหาที่เกิดแล้วแก้ไขเรื่องนั้นๆ แล้วต้องง้ออย่างไรนะเหรอ ก็ในเมื่อเค้าทำเรื่องไหนให้เป็นปัญหา เค้าก็ต้องแก้ไขในจุดนั้น ดังนั้น "โปรเจ็คง้อ" จึงเกิดขึ้น
ปัญหามันมีอยู่ว่า..เค้าคนนั้นทำงานจนไม่มีเวลา..พอมีเวลา..มีวันหยุด..เค้าก็ใช้ไปกับเรื่องราวของตัวเอง..จนลืมว่า..มีคนอีกคนที่เค้าควรใส่ใจบ้าง และยิ่งในวันที่มีปัญหา ผู้หญิงทุกคน..ต้องการคนข้างๆ ที่สุด..บางทีขอแค่ชั่วโมงเดียว หรือนาทีเดียว..เพื่ออยู่กับเธอ...ทุกอย่างก็จะดีขึ้น แต่คุณผู้ชายกลับไม่คิดอย่างนั้น..ผู้ชายมักคิดว่า..ก็รับรู้ปัญหาและให้กำลังใจแล้วนิ..เธอคงอยากอยู่คนเดียว..แต่นั่นคือเชื้อเพลิงดีๆ เลยล่ะค่ะ...เพราะเธอจะคิดอะไรต่างๆ นานามากมากมาย โดยที่คุณผู้ชายก็ไม่รู้เลย
โปรเจ็ค "ง้อ" มันจะเกิดขึ้นอย่างไรนะเหรอ...ก็ในเมื่อไม่มีเวลา ก็ต้องหาเวลา พาเราไปในที่ๆ เราอยากไปสิค่ะ โดยต้องรู้ว่า เราอยากไปไหน..และจัดการทั้งหมดด้วย.. เค้ารู้ว่าเราอยากไปบางกะเจ้า และเค้าต้องนำทางและจัดการทุกอย่าง เรามีหน้าที่ไปสัมผัสให้ได้ถึงการง้อในครั้งนี้ แต่ก็นั่นแหล่ะ..การจัดการของผุ้ชาย อาจไม่มีอะไรเลิศหรู แต่เราก็แค่ความตั้งใจก็พอ เพราะจริงๆ แค่เค้ารู้ว่าจะง้อยังไง เราอยากไปที่ไหน ยอมพาเราไป ให้เราทำในสิ่งที่เราอยากทำ...เท่านี้มันก็มีค่าพอสำหรับการให้อภัยแล้วล่ะค่ะ
และแล้วโปรเจ็คง้อ...ก็เริ่มเมื่อปลาย พ.ค.ที่ผ่านมานี้ เราเดินทางไปบางกะเจ้า เพื่อไปรับโอโซน ปั่นจักรยาน ซึ่งมันอาจไม่ได้โรแมนติกอะไร แต่มันเป็นสถานที่ที่เราจะได้สร้างความทรงจำดีๆ ใหม่ๆ ร่วมกันต่างหาก...เริ่มด้วยเค้ามารับเราที่บ้าน แล้วก็เอารถไปจอดที่ทำงานเค้า แล้วก็นั่งรถไปที่วัดคลองเตยนอก เพื่อขึ้นเรือ ซึ่งเป็นเรือเพื่อข้ามฟากไปอีกฝั่ง เราไม่เคยนั่งเรือหางยาวลำเล็กอย่างนี้ เราไปกันสองคน เรานั่งข้างหน้า เค้านั่งข้างหลัง..ก็รู้สึกอบอุ่นอีกแบบ และชิลล์มากมายกับการนั่งเรือแบบนี้ข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา และพอไปฝั่งเราก็เลือกที่จะปั่นจักรยานคนละคัน เพราะคิดว่าเส้นทางมันไม่น่าไกลมาก ทั้งๆ ที่เราไม่ปั่นนานมากถึงมารกที่สุด แต่เราก็จะลองดู
การปั่นจักรยานอีกครั้งในชีวิตก็เริ่มขึ้น เค้าให้เราปั่นนำหน้า เค้าปั่นตามหลัง ซึ่งก็จะมีเสียงมาเป็นระยะว่า..ระวังรถครับ อย่าปั่นกลางถนน ปั่นชิดริมหน่อย อย่าเบรคเวลาขึ้นเนิน..ซึ่งมันก็รู้สึกดีนะคะ แต่ไม่รู้ว่าเค้าแอบรำคาญรึป่าว เพราะเราก็นำแบบหลงๆๆ ตลอดๆๆ ไปหลายที่ เริ่มจากตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ไปหม่ำก๋วยเตี๋ยวเรือ และเดินเล่นกัน และก็ตั้งใจจะไปบ้านธูปสมุนไพร กับบ้านผ้ามัดย้อม ก็หลงทาง เลยไปที่ Bangkok Tree House ก่อนเส้นทางอย่างแคบ ต้องอาศัยการทรงตัวเป็นอย่างมาก เราก็พักดื่มกาแฟและทานขนมกัน ตากแอร์ ถ่ายรูปกันที่นั่น และออกมาเพื่อจะไปบ้านผ้ามัดย้อมให้ได้ แต่ก็เลยทางเข้าอีก งั้นก็ไว้โอกาสหน้า เราเลยไปพิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย และสวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์
การท่องเที่ยวในครั้งนี้ เรามองว่ามันเหมือนการเดินทางบนเส้นทางชีวิต ที่เราอยากบอกว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรสวยงาม ไม่เรียบง่าย อาจมีอุปสรรค เจอทางที่ไม่สะดวกสบาย เหนื่อยล้าก็พัก เมื่อยกับการปั่น เจ็บตัวบ้าง หลงทางบ้าง และระหว่างทางมันก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย..แต่เราก็จะถึงจุดหมายปลายทาง และในเส้นทางทุกเส้นทาง..ถ้าเราเดินทางเพียงลำพัง ถ้าเราเหนื่อย เราท้อ เราอาจหยุดหันหลังกลับแล้วไม่ไปต่อ....แต่พอเรามีคนอีกคนหนึ่งร่วมเดินทางไปด้วยกัน มันกลับทำให้เรารู้สึกว่า เรามีคนอีกคนรอเราอยู่ เรามีคนของกำลังใจ ซึ่งเป็นคนที่ทำให้เส้นทางการเดินทางนี้สวยงามและมีความหมายมากขึ้น เค้าคอยอยู่ข้างหลัง และอยู่ข้างๆ เราที่พอเราหันไปเห็นความพยายาม ความอดทน ที่ไม่ว่าเค้าจะร้อน จะเหนื่อย จะเมื่อย จะต้องคอยปั่นจักรยานตาม คอยบอกทาง หลงไปด้วยกัน ที่สำคัญไม่ทิ้งเราในช่วงเวลาที่เราล้า และส่งเรากลับบบ้านอย่างปลอดภัย...เท่านี้..เราก็มีความสุขแล้วล่ะค่ะ
จริงๆๆ ก็มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น คือตอนขากลับ เราปั่นจนขาล้า ก็เลยให้เค้าปั่นนำไปก่อน ซึ่งเค้าก็คงชิลล์ แต่พอเค้าหันมาเห็นเราอยู่ไกลๆ เค้าก็ปั่นวนกลับมาหา แล้วให้เราปั่นนำหน้าเหมือนทุกครั้ง ทั้งๆ ที่นั่นคือใกล้จะถึงท่าเรือ ซึ่งยังไงก็ไม่หลงหรอก แต่เค้าก็ทำแบบนั้น..เค้าก็ไม่ทิ้งเรา ทำให้เรารู้สึกว่า..มันเป็นการมาที่คุ้มค่าอีกอย่างหนึ่งนะ
เราไม่รู้หรอกว่า..เราจะรู้สึกดีไปคนเดียวรึป่าว เราไม่รู้ว่าความรู้สึกในวันนี้มันคืออะไร เรารู้แต่เพียง..เค้าคือคนของกำลังใจที่ทำให้การให้อภัยในครั้งนี้มีค่าและมีความหมายมากมายแล้วล่ะค่ะ...ทั้งๆ ที่จริงๆ การง้อในครั้งนี้..มันผ่านตั้งแต่..เค้ารู้ว่าเราอยากไปที่ไหน และบอกเราว่า..ไม่คิดว่าเราจะเงียบหายไปนานขนาดนี้..นั่นมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าช่วงเวลาที่เราหายไป..เค้าคงยังคิดถึง และเราน่าจะมีความหมายกับเค้าอยู่บ้าง..และสำหรับวันนี้...เค้าก็เป็นคนของกำลังใจที่อยู่ในความาทรงจำดีๆ ในวันนี้ไปแล้วล่ะค่ะ และที่สำคัญมันทำให้เรารู้ว่า การมีคนข้างๆ มาร่วมสร้างความทรงจำนั้นมันดีแค่ไหน ทริปนี้อาจทั้งเหนื่อย ทั้งลำบาก แต่มันก็ทำให้เราผ่านมันมาได้..ความสวยงามของของการเดินทางที่มีคนของกำลังใจมันทำให้ชีวิตเรามีความหมายมากขึ้น และเราอยากให้มันมีสิ่งดีๆ ที่เราร่วมกันสร้าง และเดินทางไปด้วยกันอย่างนี้ตลอดไปจัง..ขอบคุณอีกครั้งนะคะ...คนของกำลังใจ^_^
*********************************************************************
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559
คนของกำลังใจ..ทำให้การเดินทางน่าจดจำ
ในเวลาที่เหนื่อยและท้อกับชีวิต...กำลังใจคือสิ่งสำคัญเสมอ...แต่บางที..เราเองก็ไม่เคยรู้ว่า..กำลังใจนั้นจะได้มาจากไหน...จากใคร...จากอะไร..ปัญหาต่างๆ อาจมากมาย จนเรารับมันไม่ไหว และเมื่อวันหนึ่ง..พอมีคนเข้ามารับฟัง..คอยให้คำปรึกษา..จนเราไม่รู้ว่าเค้าคือใคร..เราเรียกเค้าว่า..คนของกำลังใจ..ได้ไหม..ซึ่งตอนนี้เค้าเหมือนคนข้างๆ
ที่เข้ามาเดินร่วมทางและมันทำให้การเดินทางที่เกิดขึ้นต่างๆ เหล่านี้..มันช่างน่าจดจำ..เหลือเกิน..แล้วมันเกิดขึ้นจริงใช่ไหม...จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานไหม..มันเริ่มต้นมาจากตรงไหนเหรอ?????..ชีวิตจะก้าวไปทางไหนอย่างไรต่อ..???
เริ่มต้นจากในช่วงเวลาที่เราไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น...ครั้งหนึ่งเมื่อหลังปีใหม่
2015
ผ่านมาได้สักอาทิตย์หนึ่ง...เราได้รับข้อความว่า..."ฝันดีครับ"..ใน Inbox
fb..จากผู้ชายคนหนึ่ง..ตอนตี 2 ซึ่งเรามาเห็นก็เช้าของอีกวันหนึ่งล่ะค่ะ..เราก็งงกับสิ่งที่ได้รับ...ก็ถามกลับไปว่า..ส่งผิดคนรึป่าว...เป็นอาราย
ไม่สบายใจอะไรเหรอ...คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ..."ตั้งใจครับ"...ซึ่งมันก็รู้สึกดีนะคะ
และหลังจากนั้นเราก็คุยกันมาเรื่อยๆ โดยที่แอบรู้มาว่า..เขามีแฟนแล้ว
แต่ก็มีปัญหากัน..(ไม่รู้ข้อมูลจะผิดรึป่าว)..ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดอะไร...และหลังจากนั้นเราและเค้าก็คุยกันมาเรื่อยๆ
ส่วนใหญ่เรามักจะระบายหลายๆเรื่องให้เค้าฟัง ทั้งเรื่องงาน เรื่องความรัก และปัญหาต่างๆ
มากมาย ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมถึงไประบายกับเค้า
เคยนัดเจอกันแต่ก็ไม่เคยเจอกันสักที...เวลาผ่านไป 8 เดือน...เร็วมาก..คุยอารายกันเยอะแยะไปหมด คุยเกือบทุกเรื่อง
จู่ๆ
วันหนึ่ง..เพื่อนสนิทเรามาจากภูเก็ต ต้องไปพักโรงแรมแถวเอราวัณ ซึ่งเราก็ไปหา
แล้วกลับดึก เราก็ไม่อยากกลับคนเดียว เลยก็ขอให้เค้าแวะมารับกลับบ้าน
เพราะว่าเค้าทำงานอยู่ใกล้ๆ แถวชิดลม และกลับบ้านทางเดียวกัน..เหมือนเราเจอกันครั้งแรก
ซึ่งก็ไม่มีอะไร คุยเล่นถึงเรื่องเก่าๆ ว่าทำไมเราไม่เคยเจอกันเลย ทั้งๆที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เที่ยวด้วยกัน ทั้งๆ ที่จะมีคนแนะนำให้รู้จัก ก็ไม่มีโอกาสเจอ แต่นี่ก็เหมือนมาคุยกันซะงั้น แล้วเค้าก็ขับรถไปส่งบ้าน นี่คือครั้งแรกที่เจอกัน..ทุกอย่างผ่านไปเร็วมาก หลังจากนั้นก็เริ่มมีโอกาสได้เจอกันมากขึ้น จากครั้งแรกที่เจอกัน..นี่ก็ 5 เดือนพอดี หลังจากนั้นที่เจอก็เริ่มจากทริปอยากเที่ยวช่วงอากาศหนาว..วางแผนไว้..เค้าไม่อยากให้เราไปคนเดียว...แต่ที่ได้เจอครั้งต่อมานี่คือได้ตั๋วหนังฟรีมา ก็เลยชวนกันไปดูหนัง ไปกินข้าว เพราะเราไม่ได้ดูหนังนานมาก หลังจากนั้นก็มีเที่ยวกลางคืน และมีตั๋วฟรีมาอีกล่ะ..ไปดูคอนเสิร์ตต่างจังหวัดกัน ทริป 1 วัน 1 คืน (แบบไม่ค้างคืน แต่นอนบนรถทัวร์) และครั้งนี้ก็ทำให้รู้สึกว่า..มันแปลกๆ มีสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น
และเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่มันทำให้มีโอกาสเจอกันมากขึ้น และได้จัดทริปไปเชียงคาน
เมืองที่เราอยากไปมานานล่ะ แต่เค้าไม่ให้ไปคนเดียว เค้าจะไปด้วย..แต่งานนี้กว่าจะได้ไปก็เตรียมตัวกันยาวอ่ะค่ะ
แต่ก่อนไปเชียงคาน..มันผ่านช่วงวันเกิดเราและวาเลนไทน์
ซึ่งก็ไม่ได้คิดอะไร ได้รับคำอวยพรน่ารักตามปรกติ แต่สิ่งที่ไม่คาดว่าจะได้รับคือ
เค้าชวนไปดูหนังหลังวาเลนไทน์ และให้ของขวัญวันเกิดที่น่ารักอีกด้วย..ทำให้เรารู้สึกดีมากขึ้น..แต่เราก็ไม่มีโอกาสได้ถามความรู้สึกใดๆ
รอไว้ไปจัดการทุกอย่างที่เชียงคานล่ะกานนะคะ
และแล้วทริปเชียงคานก็เกิดขึ้น..เรื่องราวตื่นเต้นกันตั้งแต่ขึ้นเครื่องกันเลยทีเดียว..ทุกอย่างไม่มีแพลนอ่ะ..จองตั๋วเครื่องบิน
และที่พัก ที่เหลือไปแบบชิลล์...และพอไปถึงมันก็ชิลล์จริงๆๆนะคะ ด้วย
บรรยากาศของเมือง บรรยากาศริมน้ำโขง ที่พัก และอากาศดีด้วย ถือว่าโชคดีที่อกาศยังเย็นอยู่เลยล่ะ
วันแรกเราก็ไม่ค่อยได้ไปไหนไกล เดินเล่นในเมืองเชียงคาน พักผ่อน เที่ยวถนนคนเดินเชียงคาน
เก็บบรรยากาศริมน้ำโขง แบบว่าเดินกันไปมาหลายรอบมาก..และหาข้อมูลเที่ยววันต่อวัน..ก็สนุกไปอีกแบบ
และพอวันที่สองนี่สิ...เที่ยวกันตั้งแต่เช้ามืด ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก
ไหว้พระธาตุรอยพระพุทธบาท ชมวิวเมืองเชียงคาน เที่ยวแก่งคุดคู้
ปล่อยปลาลงแม่น้ำโขง และเก็บสตอเบอร์รี่จากต้น..แบบว่าตะลอนเที่ยว ตะลอนกิน
จนเกือบทั่ว ไม่ว่าจะนั่งรถสกายแลป (รถตุ๊ก-ตุ๊กที่เชียงคาน)
รวมถึงการขี่จักรยานเที่ยวซะหลายๆรอบ เค้าปั่นเราซ้อนอ่ะ แล้วจบด้วยถนนคนเดินอีกรอบ และก็มีโอกาสได้เจอเพื่อนเค้าที่นั่น
เลยนั่งคุยกันแบบชิลล์กันจนดึก เชียงคานเป็นเมืองที่เงียบสงบและปลอดภัยมาก
เป็นความรู้สึกที่เหมือนมีแค่เราสองคนจริงๆ ก็เดินเล่นกันอยู่สองคนในเวลาหลังเที่ยงคืนอ่ะ..แบบว่าไม่อยากให้ถึงวันกลับเลยอ่ะ
และพอเช้าวันกลับก็ได้ใส่บาตรข้าวเหนียวด้วยกัน และก็ขี่จักรยานเที่ยว
เก็บตกร้านต่างๆ ในเชียงคาน นั่งชิลล์ตามร้านต่างๆ แล้วก็ต้องกลับมาสู่โลกแห่งความวุ่นวาย...
ขอบคุณการเดินทางที่แสนพิเศษ..มันน่าจดจำมากมาย..โดยเฉพาะการที่เรามีใครสักคนอยู่ข้างๆ
ไม่ว่าจะเวลาไหน..มันก็ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัยและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
แต่พอถึงเวลาที่จะต้องแยกกันกลับบ้านนี่สิ..ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย..แต่เราก็ไม่รู้ว่าเรารู้สึกไปคนเดียวรึป่าวนะคะ..รู้แต่ว่า..เวลาทั้ง
3 วัน 2 คืนที่ผ่านมา..คนข้างๆ ที่อยู่ตรงนั้นมีความหมายมาก มือที่จับกัน..มันอุ่นเสมอ
จนเราไม่อยากปล่อยมือจากเค้าเลย และเราก็คิดว่าเค้าก็พยายามทำให้เรารู้สึกดีอย่างนั้นเช่นกาน ขอบคุณที่ทำให้ฝันของผู้หญิงคนนี้เป็นจริง
ได้เที่ยวเมืองในฝัน ขอบคุณการเดินทางร่วมกัน การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
และการดูแลกันและกันตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน..ขอบคุณที่เป็นคนของกำลังใจที่สำคัญ..ขอบคุณสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น
..ขอบคุณจริงๆๆ
นะคะ
แต่แล้วทุกอย่างมันก็เหมือนความฝัน..ที่ต้องตื่นมาเจอกับความเป็นจริง..เมื่อเค้ายังไม่มีความชัดเจนใดๆ
ให้กับเรา
และคนของเค้าก็เหมือนยังอยู่...ชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร...การเดินทางครั้งต่อไป..จะเกิดขึ้นอย่างที่เค้าบอกว่า..มันไม่ใช่ทริปสุดท้ายหรือเปล่า..บางที..ตอนนี้เราอาจต้องถอยกลับมาคิดทบทวนกันใหม่อีกครั้ง...ว่า..เรากำลังทำสิ่งที่ผิด หรือ กำลังจะทำให้มันถูกต้อง เพราะชีวิตมันมีการเดินทางเสมอ
..เพียงแต่ว่า...ใครจะมาเป็นคนข้างๆ ที่สร้างความทรงจำที่ดี..ให้น่าจดจำ..ก็เท่านั้นเองค่ะ
วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558
แสงสว่าง..ปลายอุโมงค์
ชีวิตคนเรามักพาผู้คนหลากหลายแบบมาให้เราพบเจอ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ก็แปลกนะคะ...คนที่เข้ามาในชีวิตเรามักจะเปลี่ยนไปในวันที่เรารู้สึกดีเสมอ..แต่มันก็มีคำบางคำที่มีความหมาย และอยากบอกว่า..รู้สึกดีที่ได้ยินคำๆนี้..มันไม่ใช่คำว่า "รัก" ไม่ใช่คำว่า "คิดถึง" แต่มันคือคำว่า..แสงสว่างปลายอุโมงค์..เรื่องราวมันเกิดขึ้นได้งัยนะเหรอ..
เริ่มต้นจากเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เราก็สาวปาร์ตี้ตัวแม่ ไม่กินเหล้าแต่แดนซ์กระจาย อยู่มาวันหนึ่งมีคนมาบอกว่า..จะมีมือกีตาร์มาใหม่ หล่อมว๊าก สเปคเราไรงี้..เราก็ตอบว่า..รู้ได้งัยว่าสเปคเราเป็นแบบไหน..ถ้าไม่หล่อ..โดนแน่!!!
และพอเราเจอพี่เค้าเท่านั้นล่ะ..บอกตรงๆๆ โลกใบนี้เหมือนมีแต่เรากับเค้า..และแล้วพี่ชายในกลุ่มเราก็จัดให้น้องสาวด้วยการไปบอกมือกีตาร์สุดหล่อคนนั้นว่า..ขอเบอร์หน่อย..มีคนสนใจและก็ชี้มาที่เรา..แต่พอพี่ชายเอามาให้เรากลับบอกว่ามือกีตาร์สุดหล่อฝากมาให้..หลังจากนั้นนะเหรอ..แม้จะมีความรู้สึกดีๆต่อกัน..ชีวิตก็ต้องดำเนินตามปรกติเพราะเค้ามีแฟนแล้ว ได้แต่มอบความรู้สึกดีๆให้กันในฐานะพี่ชายและน้องสาวที่แสนดีต่อกันเท่านั้น..จนที่ร้านปิดปรับปรุง ต่างคนก็ต่างมีทางของกันและกัน และเราก็มารับรู้ข่าวอีกที คือเค้าเลิกกับแฟนแล้วอ่ะ
เรากับพี่เค้าก็เลยได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง ได้ทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาส..ทานข้าวกันเกือบทุกอาทิตย์ ไปทำบุญตามเทศกาลต่างๆ และได้ไปเที่ยวอัมพวาด้วย ตอนนั้นมีแต่คนบอกว่า..เหมือนเป็นแฟนกันเลย..เรามีความสุขได้อยู่ประมาณ 6-7เดือนมั้งแล้วก็ต้องมาช็อคและเจ็บแบบไม่ทันตั้งตัว พี่เค้าเงียบไป 2-3อาทิตย์ และก็ประกาศมีเมีย (ใช้คำนี้เลยนะคะ) ในวันเกิดของเค้า เราทำอะไรไม่ถูก ได้แต่แสดงความยินดี และก็ต้องถอยออกมา แล้วภาพที่เห็น มันเหมือนไม่ใช่พี่เค้าเลย แต่เราก็ทำได้แค่เพียงต้องยอมรับความเป็นจริงว่านั่นคือสิ่งที่พี่เค้าเลือกอ่ะค่ะ
3 ปีผ่านไป..เราไม่เคยได้ข่าวพี่เค้าเลย fbพี่เค้าก็ไม่ได้เล่น พอถามเพื่อนๆพี่เค้า..ก็ตอบกันเป็นเสียงเดียวกันว่า..ไม่ได้ข่าวพี่เค้าเลย ติดต่อไม่ได้เลย..เราก็รู้สึกแปลกๆ และจู่ๆเราก็ฝันถึงพี่เค้า เลยตัดสินใจ เสี่ยงติดต่อไป กลับได้รับข่าวร้าย ชีวิตพี่เค้าแย่มาก เราก็ได้แต่บอกให้เค้าอดทน เพราะชีวิตคู่มันอาจมีปัญหา แต่เค้าก็ไม่ยอมบอกอะไร จนพี่เค้าทนไม่ไหว เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง..เราก็ได้แต่รับฟังและให้พี่เค้าสวดมนต์ แผ่เมตตา และทำใจให้สบาย บอกตรงๆสงสารพี่เค้ามาก แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะไม่อยากให้เค้าออกมาเพราะเรา แต่อยากให้เค้าออกมาเพราะตัวพี่เค้าเอง คำพูดที่พี่เค้าบอกเราตอนนั้น คือ เราเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เป็นคำพูดที่อาจฟังดูเชยๆ สำหรับคนทั่วไป อาจดูเว่อร์ไปสำหรับคนที่ไม่รู้ความหมาย เพราะถ้าเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น..เราก็จะไม่รู้เลย..แต่สำหรับพี่เค้า..เราเข้าใจและรู้สึกดีมาก..ที่ได้ยินแบบนั้น..และสุดท้าย พี่เค้าก็ออกมาได้จริงๆ
แล้วพี่เค้าก็ย้ายกลับไปอยู่บ้าน ซึ่งก็ไกลกันออกไปอีก แต่ก็แปลกที่ ไกลกันขนาดนั้น..แต่กลับรู้สึกดีต่อกันมากขึ้น..เราทบทวนความหลังในวันแรกเมื่อ 7 ปีที่แล้วที่เจอกัน พี่เค้าบอกว่า..เค้าเล่นกีตาร์บนเวที มันเหมือนมีแสงจากด้านล่างท่ามกลางฝูงชน เค้าบอกว่า..นั่นคือสายตาคู่หนึ่งของเรา..เราดีใจที่เราทั้งสองคนคิดถึงภาพในวันนั้นเหมือนกัน และเราก็คุยกันถึงเรื่องราวที่ดีๆหลายเรื่อง การทำบุญ การไปเที่ยว แม้ในช่วงเวลานั้นพี่เค้าจะยังไม่รู้จะทำอะไร ยังไงต่อ เราก็บอกให้พี่เค้าเริ่มจากสิ่งที่เค้ารักคือ กีตาร์ เพราะพี่เค้ามีพรสวรรค์นะ เราว่าน่าจะรุ่ง แต่เค้าบอกว่า..เด็กรุ่นใหม่เก่งๆหน้าตาดีเพียบ พี่เค้าก็เลยหันไปทำอย่างอื่นก่อน แต่เราก็ยังอยากให้พี่เค้าลอง แล้วพี่เค้าก็ได้เล่นดนตรีอีกครั้ง เริ่มเล่นจาก 1ที่ เป็น 2ที่ และเริ่มมีงานเรื่อยๆ จนเค้าเริ่มมีลู่ทางดีๆขึ้น แต่พี่เค้าก็ยังไม่หยุด หางานไม้ที่เคยทำต่ออีก จนแทบไม่มีเวลา..เราก็ภูมิใจและดีใจกับพี่เค้านะคะ..แต่ด้วยงานที่มากมาย สังคมและผู้คนที่เข้ามา..ทำให้วันนี้..เวลาที่มีให้กันมันน้อยลง จนแทบไม่มั่นใจว่า..แสงสว่างปลายอุโมงค์ที่พี่เค้าเคยบอก..มันยังเป็นเราอยู่ไหม..ชีวิตต่อไปจะเป็นเช่นไร คนพิเศษที่เค้าอยากจะมีโอกาสดูแล เค้ายังคิดแบบนั้นอยู่ไหม เมื่อก่อนเราอาจไม่คิดอะไรมาก แต่พอในวันที่เรามีปัญหา คำถามพวกนี้มันมาเต็ม บอกตรงๆ เราก็อยากมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้าง บางทีแค่ความห่วงใยที่มีให้กันทุกวันเหมือนเดิมมันก็น่าจะช่วยให้ชีวิตนี้ก้าวต่อไปได้อย่างไม่ยาก..
แต่วันนี้..สิ่งที่เราได้รับ มันเป็นเพียงแค่การรอ รอ รอ และรอ เราไม่รู้ว่า..มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา คนที่แสนดีและรู้สึกดีต่อกันเค้ายังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม..เราไม่เคยคิดจะกดดันพี่เค้านะ..แต่บางทีคนเราก็ต้องการความมั่นใจบ้าง เราจะพยายามใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะถ้าเค้าเปลี่ยนไปในทางที่ดี เราก็ต้องดีใจ และยินดีกับเค้า..เพราะเท่ากับว่า..แสงสว่างดวงนี้ได้พาเค้าถึงปลายอุโมงค์แล้ว..แม้แสงสว่างนี้จะเจิดจร้าต่อไปหรือดับลงก็ตาม..มันก็คือความสำเร็จที่เราจะมีความสุขเมื่อเค้ามีความสุข แม้ในวันนั้นความสุขของเค้าจะเป็นเราหรือไม่ก็ยังไม่รู้.. มีคนเคยบอกว่า..ชีวิตของคนเราจะมีค่าก็ต่อเมื่อในวันที่เราเห็นคุณค่าของคนที่อยู่กับเราตลอดมามากกว่า ถ้าในวันที่เรามีความสุขมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว เรากลับไม่เห็นคุณค่าของใครอีกคน บางทีก็ต้องปล่อยกันไปนะคะ เพราะเท่ากับว่านั่นคือการดูถูกคุณค่าในตัวของเองไปแล้วอ่ะค่ะ..ชีวิตมันต้องก้าวต่อไป มีความสุขกับคนที่เห็นคุณค่าในตัวของเราดีที่สุดค่ะ..
วันนี้เรายังอยู่ตรงนี้ แต่เราไม่รู้ว่า..ในวันที่พี่เค้าคิดได้ว่า..แสงสว่างดวงไหนเหมาะกับเค้า บางทีแสงสว่างดวงนี้อาจไปไกลจากเค้าแล้ว..ไม่ใช่เพราะระยะทาง ไม่ใช่เพราะแสงสว่างนี้หมดไป..แต่เป็นเพราะพี่เค้าไม่เห็นแสงสว่างนี้ในชีวิตของพี่เค้าในวันที่พี่เค้ามีความสุขเลยต่างหาก..พอวันนั้นสำหรับเราคงต้องกลับมาถามตัวเองอีกทีว่า..รู้สึกอย่างไร..จะยังเหมือนเดิมต่อไปได้หรือเปล่า?????
เรากับพี่เค้าก็เลยได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง ได้ทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาส..ทานข้าวกันเกือบทุกอาทิตย์ ไปทำบุญตามเทศกาลต่างๆ และได้ไปเที่ยวอัมพวาด้วย ตอนนั้นมีแต่คนบอกว่า..เหมือนเป็นแฟนกันเลย..เรามีความสุขได้อยู่ประมาณ 6-7เดือนมั้งแล้วก็ต้องมาช็อคและเจ็บแบบไม่ทันตั้งตัว พี่เค้าเงียบไป 2-3อาทิตย์ และก็ประกาศมีเมีย (ใช้คำนี้เลยนะคะ) ในวันเกิดของเค้า เราทำอะไรไม่ถูก ได้แต่แสดงความยินดี และก็ต้องถอยออกมา แล้วภาพที่เห็น มันเหมือนไม่ใช่พี่เค้าเลย แต่เราก็ทำได้แค่เพียงต้องยอมรับความเป็นจริงว่านั่นคือสิ่งที่พี่เค้าเลือกอ่ะค่ะ
3 ปีผ่านไป..เราไม่เคยได้ข่าวพี่เค้าเลย fbพี่เค้าก็ไม่ได้เล่น พอถามเพื่อนๆพี่เค้า..ก็ตอบกันเป็นเสียงเดียวกันว่า..ไม่ได้ข่าวพี่เค้าเลย ติดต่อไม่ได้เลย..เราก็รู้สึกแปลกๆ และจู่ๆเราก็ฝันถึงพี่เค้า เลยตัดสินใจ เสี่ยงติดต่อไป กลับได้รับข่าวร้าย ชีวิตพี่เค้าแย่มาก เราก็ได้แต่บอกให้เค้าอดทน เพราะชีวิตคู่มันอาจมีปัญหา แต่เค้าก็ไม่ยอมบอกอะไร จนพี่เค้าทนไม่ไหว เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง..เราก็ได้แต่รับฟังและให้พี่เค้าสวดมนต์ แผ่เมตตา และทำใจให้สบาย บอกตรงๆสงสารพี่เค้ามาก แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะไม่อยากให้เค้าออกมาเพราะเรา แต่อยากให้เค้าออกมาเพราะตัวพี่เค้าเอง คำพูดที่พี่เค้าบอกเราตอนนั้น คือ เราเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เป็นคำพูดที่อาจฟังดูเชยๆ สำหรับคนทั่วไป อาจดูเว่อร์ไปสำหรับคนที่ไม่รู้ความหมาย เพราะถ้าเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น..เราก็จะไม่รู้เลย..แต่สำหรับพี่เค้า..เราเข้าใจและรู้สึกดีมาก..ที่ได้ยินแบบนั้น..และสุดท้าย พี่เค้าก็ออกมาได้จริงๆ
แล้วพี่เค้าก็ย้ายกลับไปอยู่บ้าน ซึ่งก็ไกลกันออกไปอีก แต่ก็แปลกที่ ไกลกันขนาดนั้น..แต่กลับรู้สึกดีต่อกันมากขึ้น..เราทบทวนความหลังในวันแรกเมื่อ 7 ปีที่แล้วที่เจอกัน พี่เค้าบอกว่า..เค้าเล่นกีตาร์บนเวที มันเหมือนมีแสงจากด้านล่างท่ามกลางฝูงชน เค้าบอกว่า..นั่นคือสายตาคู่หนึ่งของเรา..เราดีใจที่เราทั้งสองคนคิดถึงภาพในวันนั้นเหมือนกัน และเราก็คุยกันถึงเรื่องราวที่ดีๆหลายเรื่อง การทำบุญ การไปเที่ยว แม้ในช่วงเวลานั้นพี่เค้าจะยังไม่รู้จะทำอะไร ยังไงต่อ เราก็บอกให้พี่เค้าเริ่มจากสิ่งที่เค้ารักคือ กีตาร์ เพราะพี่เค้ามีพรสวรรค์นะ เราว่าน่าจะรุ่ง แต่เค้าบอกว่า..เด็กรุ่นใหม่เก่งๆหน้าตาดีเพียบ พี่เค้าก็เลยหันไปทำอย่างอื่นก่อน แต่เราก็ยังอยากให้พี่เค้าลอง แล้วพี่เค้าก็ได้เล่นดนตรีอีกครั้ง เริ่มเล่นจาก 1ที่ เป็น 2ที่ และเริ่มมีงานเรื่อยๆ จนเค้าเริ่มมีลู่ทางดีๆขึ้น แต่พี่เค้าก็ยังไม่หยุด หางานไม้ที่เคยทำต่ออีก จนแทบไม่มีเวลา..เราก็ภูมิใจและดีใจกับพี่เค้านะคะ..แต่ด้วยงานที่มากมาย สังคมและผู้คนที่เข้ามา..ทำให้วันนี้..เวลาที่มีให้กันมันน้อยลง จนแทบไม่มั่นใจว่า..แสงสว่างปลายอุโมงค์ที่พี่เค้าเคยบอก..มันยังเป็นเราอยู่ไหม..ชีวิตต่อไปจะเป็นเช่นไร คนพิเศษที่เค้าอยากจะมีโอกาสดูแล เค้ายังคิดแบบนั้นอยู่ไหม เมื่อก่อนเราอาจไม่คิดอะไรมาก แต่พอในวันที่เรามีปัญหา คำถามพวกนี้มันมาเต็ม บอกตรงๆ เราก็อยากมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้าง บางทีแค่ความห่วงใยที่มีให้กันทุกวันเหมือนเดิมมันก็น่าจะช่วยให้ชีวิตนี้ก้าวต่อไปได้อย่างไม่ยาก..
แต่วันนี้..สิ่งที่เราได้รับ มันเป็นเพียงแค่การรอ รอ รอ และรอ เราไม่รู้ว่า..มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา คนที่แสนดีและรู้สึกดีต่อกันเค้ายังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม..เราไม่เคยคิดจะกดดันพี่เค้านะ..แต่บางทีคนเราก็ต้องการความมั่นใจบ้าง เราจะพยายามใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะถ้าเค้าเปลี่ยนไปในทางที่ดี เราก็ต้องดีใจ และยินดีกับเค้า..เพราะเท่ากับว่า..แสงสว่างดวงนี้ได้พาเค้าถึงปลายอุโมงค์แล้ว..แม้แสงสว่างนี้จะเจิดจร้าต่อไปหรือดับลงก็ตาม..มันก็คือความสำเร็จที่เราจะมีความสุขเมื่อเค้ามีความสุข แม้ในวันนั้นความสุขของเค้าจะเป็นเราหรือไม่ก็ยังไม่รู้.. มีคนเคยบอกว่า..ชีวิตของคนเราจะมีค่าก็ต่อเมื่อในวันที่เราเห็นคุณค่าของคนที่อยู่กับเราตลอดมามากกว่า ถ้าในวันที่เรามีความสุขมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว เรากลับไม่เห็นคุณค่าของใครอีกคน บางทีก็ต้องปล่อยกันไปนะคะ เพราะเท่ากับว่านั่นคือการดูถูกคุณค่าในตัวของเองไปแล้วอ่ะค่ะ..ชีวิตมันต้องก้าวต่อไป มีความสุขกับคนที่เห็นคุณค่าในตัวของเราดีที่สุดค่ะ..
วันนี้เรายังอยู่ตรงนี้ แต่เราไม่รู้ว่า..ในวันที่พี่เค้าคิดได้ว่า..แสงสว่างดวงไหนเหมาะกับเค้า บางทีแสงสว่างดวงนี้อาจไปไกลจากเค้าแล้ว..ไม่ใช่เพราะระยะทาง ไม่ใช่เพราะแสงสว่างนี้หมดไป..แต่เป็นเพราะพี่เค้าไม่เห็นแสงสว่างนี้ในชีวิตของพี่เค้าในวันที่พี่เค้ามีความสุขเลยต่างหาก..พอวันนั้นสำหรับเราคงต้องกลับมาถามตัวเองอีกทีว่า..รู้สึกอย่างไร..จะยังเหมือนเดิมต่อไปได้หรือเปล่า?????
วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558
รักแท้..แพ้ไม่รัก
ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอ..ไม่มีความรักไหนที่ทำร้ายเรา..มีแต่การไม่รักกันต่างหากที่ทำร้ายเรา..ชีวิตที่ผ่านมาเราก็เคยเจอความรักทั้งที่ดีและไม่ดี..และพอคิดจะเริ่มอะไรกับใครใหม่..ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตนั้นมีหลากหลายแบบ..
และเมื่อ 6 ปีที่แล้วเราก็ได้เจอผู้ชายคนหนึ่งที่เราเคยได้แต่มองกันไปมาเป็นปีๆ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คุยหรือได้รู้จักกัน..เขาเป็นผู้ชายสูงขาว ตี๋ๆ ชอบใส่เสื้อเชิ้ตขาว กางเกงยีนส์..ทุกครั้งที่เราเจอเค้า
หลังจากนั้นอีกเกือบปี..วันหนึ่งเมื่อ 5 ปีก่อน..เราก็ไปเที่ยวตามปรกติ..และก็เจอเค้าแต่ก็ไม่ได้คิดอาราย รอยยิ้มที่เห็นแล้วมีความสุขทุกครั้งที่เจอ แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น พอรุ่นพี่เรามาถึง เค้าก็เข้ามาทักทาย เค้ารุ้จักกัน และเราที่ยืนอยู่ข้างหลังเค้าแทบช๊อค..เค้ารู้จักรุ่นพี่เรา ใกล้ตัวมว๊ากกกก..และเค้าก็พากันไปคุยที่โต๊ะ..สักพักก็พากันมาแนะนำให้เรากับเค้าได้รู้จักกัน..คุยกันได้สักพัก รุ่นพี่เราก็ขอเบอร์เราให้เค้า เราก็บอกว่า..ทำไมเค้าไม่มาขอเอง เค้ามาจริง ขอตรงๆ เราก็เลยให้ ซึ่งก็คิดว่าไม่มีอะไร แต่คืนนั้น..เราสองคนเหมือนรู้จักกันมานาน..คุยเล่นกัน จนคนแถวนั้นอิจฉา คิดว่าเป็นแฟนกันจริงๆ..ความสุขมันก็สั้น หมดเวลาของซินเดอเรล่าล่ะ..เราได้เวลากลับบ้าน..ตอนแรกเค้าก็จิไปส่ง แต่เราเห็นว่าเพื่อนเค้าก็ยังอยู่..เค้าก็เดินไปส่งข้างนอก ซึ่งเราก็คิดว่า..มันคงเป็นแค่ความฝัน และเป็นฝันดี ที่ครั้งหนึ่งมีผู้ชายที่เราก็รู้สึกดีมาขอเบอร์ และได้คุย ได้รู้จักกัน..เท่านั้นมั้งงงง
พอวันรุ่งขึ้นก็มีเบอร์แปลกๆโทรมา กลายเป็นเค้าอ่ะ..เราก็งงง เค้าบอกว่า..ไม่ดีเหรอ..เราจะได้มีเบอร์เค้าทั้งหมด..เราคุยกันหลายเนื่อง คุยกันทุกวัน คุยกันเป็นชั่วโมง เจอกันทุกวันศุกร์ที่เดิมของเราสองคน..ที่เวลาเจอกัน แม้คนจิมากมาย แต่ก็เหมือนที่ตรงนั้นมีแค่เรา เวลาผ่านไปนั้น 6-7 เดือนที่เค้าหยอดคำหวานมาตลอด สุดท้ายความจริงก็ปรากฏ..เมื่อเค้าเริ่มเงียบหายไป แล้วภาพคู่ของเค้ากับผู้หญิงที่เค้าบอกว่า..ไม่มีทางที่จะแต่งงานด้วยได้..เค้าไปถ่ายภาพงานรับปริญญาโทในวันซ้อม แต่กลับเหมือนภาพPreweddingเลยย..เราก็ต้องถอยออกมา โดยไม่ถามอาราย เราเงียบไปเป็นเดือน จนปีใหม่ เราก็ส่งข้อความอวยพรปีใหม่ปรกติ แล้วเค้าก็เป็นคนแรกที่ส่งกลับมาให้เรา หลังจากนั้น เราก็คุยกันเรื่อยๆ จนพอมาปีหลังมานี้..เราเริ่มรู้แล้วว่า..รอไปก็คงไม่มีประโยชน์ คงเป็นได้แค่เพื่อน แต่ทุกครั้งที่เรามีปัญหา เค้าจะมีวิธีการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเราแบบสร้างกำลังใจให้เราผ่านพ้นปัญหามาได้ตลอด..จนหลังๆเราก็ยอมรับว่า..คงคิดกันได้แบบเพื่อน เพราะผู้หญิงคนนั้นเริ่มมีตัวตนที่ชัดขึ้น
หลายปีต่อมา..จนกระทั่งวันหนึ่งเรื่องราวที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เราไปเที่ยวกับเพื่อนแถวพัทยา แล้วเค้าโทรเข้ามาด้วยเสียงสั่นๆแบบต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งการได้รับสายเค้า เราน่าจะดีใจสิ..แต่ครั้งนั้น เรารู้สึกแย่ไปกับเค้า เพราะผู้หญิงคนนั้นอยู่กับผู้ชายอีกคนที่รีสอร์ทแถวพัทยา แต่เขานั้นอยู่ต่างจังหวัด เค้าแทบจะขับรถกลับมา แต่เราห้ามไว้ แล้วบอกให้เค้าใจเย็นๆ ซึ่งเราก็เสียใจไปกับเค้าด้วย ซึ่งเราก็คุยกับเค้าตลอดทาง และเกือบทั้งคืน เค้านอนไปนิดเดียว พอสว่างก็รีบกลับมาเคลียร์ ผู้หญิงบอกว่าต้องการไปจบกับผู้ชายคนนั้น ทั้งๆที่กำลังจิเป็นวันเกิดของเค้า เค้าเศร้าและเสียใจมาก สุดท้ายก็เลิกกัน เราก็ได้แต่ปลอบและคอยให้สติ ซึ่งเราก็แอบคิดนะ..ว่าการรอของเรา อยู่เพื่อปลอบใจเค้าในวันที่เค้าเจ็บสุดๆๆน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดดในตอนนั้น ผ่านมาประมาณเดือน..ผู้หญิงคนนั้นก็กลับเข้ามา..เราโกรธเค้ามาก ที่ให้อภัยกับคนที่ทำร้ายตัวเองขนาดนั้น กลืนน้ำลายตัวเองชัดๆ แต่เราก็ต้องปล่อยเขา เพราะเขาบอกเราว่า..จะเป็นแค่เพื่อนกับผู้หญิงคนนั้น เราก็พอเข้าใจนะ..แต่พอเค้าเริ่มแข็งแรง เค้าก็เริ่มมีสาวๆเข้ามา จนเราเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่า..จะอยู่ตรงนี้ในฐานะอะไร..เพราะคนที่ทำเค้าเจ็บเค้ายังให้อภัย แถมยังมองหาคนใหม่ๆ แล้วคนๆนี้ที่อยู่กับเค้าเสมอ และไม่เคยทำร้ายเค้าสักครั้ง..มันคืออะไร เราทำใจ และรอเวลาที่เราอยากเห็นเค้าเข้มแข็งมากกว่านี้ แม้จะเป็นได้แค่เพื่อนเราก็ยอม
แต่สิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับเรา เค้าหรือใครก็ไม่รู้ unfriend เราใน fb..เราโกรธและเสียใจมาก..เพราะทำไมเค้าต้องทำแบบนี้ ทำร้ายจิตใจและความรู้สึกกันทำไม แม้คำว่าเพื่อน เราก็ให้กันไม่ได้หรืออย่าง แต่ก็ยังอยากรับรู้เหตุผลจากเค้า..เรารอโอกาสสุดท้าย มันคือเมื่อวานวันเกิดเค้า ซึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเงียบหาย จนเราต้องบอกกับตัวดองแล้วว่า จากนี้ไป..เราจะยอมรับความจริง..ว่า..ไม่ว่าเมื่อไหร่ สถานการณ์ใดๆ จะอยู่ในฐานะไหน..เค้าไม่เคยคิดกับเรามากกว่าคำว่าเพื่อน และที่สำคัญ..เราต้องจำไว้ว่า..เค้าไม่เคยรักเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว..ที่ผ่านมา..ความดีของเรามันไม่เคยมีค่าสำหรับเค้าเลย..เค้าเคยมีเราตลอด.. แต่เราไม่เคยมีเค้าเลยสักครั้ง ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆและไม่ดีที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน.. วันนี้มันจะเป็นแค่ความทรงจำ..ตลอดไป ขอบคุณความไม่รักที่ทำให้รู้ว่า..รักแท้ที่แค่อยากเห็นเค้ามีความสุขมันมีค่าแค่ไหน..ขอบคุณนะคะ..ตาบ๊อง^_^
และเมื่อ 6 ปีที่แล้วเราก็ได้เจอผู้ชายคนหนึ่งที่เราเคยได้แต่มองกันไปมาเป็นปีๆ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คุยหรือได้รู้จักกัน..เขาเป็นผู้ชายสูงขาว ตี๋ๆ ชอบใส่เสื้อเชิ้ตขาว กางเกงยีนส์..ทุกครั้งที่เราเจอเค้า
หลังจากนั้นอีกเกือบปี..วันหนึ่งเมื่อ 5 ปีก่อน..เราก็ไปเที่ยวตามปรกติ..และก็เจอเค้าแต่ก็ไม่ได้คิดอาราย รอยยิ้มที่เห็นแล้วมีความสุขทุกครั้งที่เจอ แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น พอรุ่นพี่เรามาถึง เค้าก็เข้ามาทักทาย เค้ารุ้จักกัน และเราที่ยืนอยู่ข้างหลังเค้าแทบช๊อค..เค้ารู้จักรุ่นพี่เรา ใกล้ตัวมว๊ากกกก..และเค้าก็พากันไปคุยที่โต๊ะ..สักพักก็พากันมาแนะนำให้เรากับเค้าได้รู้จักกัน..คุยกันได้สักพัก รุ่นพี่เราก็ขอเบอร์เราให้เค้า เราก็บอกว่า..ทำไมเค้าไม่มาขอเอง เค้ามาจริง ขอตรงๆ เราก็เลยให้ ซึ่งก็คิดว่าไม่มีอะไร แต่คืนนั้น..เราสองคนเหมือนรู้จักกันมานาน..คุยเล่นกัน จนคนแถวนั้นอิจฉา คิดว่าเป็นแฟนกันจริงๆ..ความสุขมันก็สั้น หมดเวลาของซินเดอเรล่าล่ะ..เราได้เวลากลับบ้าน..ตอนแรกเค้าก็จิไปส่ง แต่เราเห็นว่าเพื่อนเค้าก็ยังอยู่..เค้าก็เดินไปส่งข้างนอก ซึ่งเราก็คิดว่า..มันคงเป็นแค่ความฝัน และเป็นฝันดี ที่ครั้งหนึ่งมีผู้ชายที่เราก็รู้สึกดีมาขอเบอร์ และได้คุย ได้รู้จักกัน..เท่านั้นมั้งงงง
พอวันรุ่งขึ้นก็มีเบอร์แปลกๆโทรมา กลายเป็นเค้าอ่ะ..เราก็งงง เค้าบอกว่า..ไม่ดีเหรอ..เราจะได้มีเบอร์เค้าทั้งหมด..เราคุยกันหลายเนื่อง คุยกันทุกวัน คุยกันเป็นชั่วโมง เจอกันทุกวันศุกร์ที่เดิมของเราสองคน..ที่เวลาเจอกัน แม้คนจิมากมาย แต่ก็เหมือนที่ตรงนั้นมีแค่เรา เวลาผ่านไปนั้น 6-7 เดือนที่เค้าหยอดคำหวานมาตลอด สุดท้ายความจริงก็ปรากฏ..เมื่อเค้าเริ่มเงียบหายไป แล้วภาพคู่ของเค้ากับผู้หญิงที่เค้าบอกว่า..ไม่มีทางที่จะแต่งงานด้วยได้..เค้าไปถ่ายภาพงานรับปริญญาโทในวันซ้อม แต่กลับเหมือนภาพPreweddingเลยย..เราก็ต้องถอยออกมา โดยไม่ถามอาราย เราเงียบไปเป็นเดือน จนปีใหม่ เราก็ส่งข้อความอวยพรปีใหม่ปรกติ แล้วเค้าก็เป็นคนแรกที่ส่งกลับมาให้เรา หลังจากนั้น เราก็คุยกันเรื่อยๆ จนพอมาปีหลังมานี้..เราเริ่มรู้แล้วว่า..รอไปก็คงไม่มีประโยชน์ คงเป็นได้แค่เพื่อน แต่ทุกครั้งที่เรามีปัญหา เค้าจะมีวิธีการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเราแบบสร้างกำลังใจให้เราผ่านพ้นปัญหามาได้ตลอด..จนหลังๆเราก็ยอมรับว่า..คงคิดกันได้แบบเพื่อน เพราะผู้หญิงคนนั้นเริ่มมีตัวตนที่ชัดขึ้น
หลายปีต่อมา..จนกระทั่งวันหนึ่งเรื่องราวที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เราไปเที่ยวกับเพื่อนแถวพัทยา แล้วเค้าโทรเข้ามาด้วยเสียงสั่นๆแบบต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งการได้รับสายเค้า เราน่าจะดีใจสิ..แต่ครั้งนั้น เรารู้สึกแย่ไปกับเค้า เพราะผู้หญิงคนนั้นอยู่กับผู้ชายอีกคนที่รีสอร์ทแถวพัทยา แต่เขานั้นอยู่ต่างจังหวัด เค้าแทบจะขับรถกลับมา แต่เราห้ามไว้ แล้วบอกให้เค้าใจเย็นๆ ซึ่งเราก็เสียใจไปกับเค้าด้วย ซึ่งเราก็คุยกับเค้าตลอดทาง และเกือบทั้งคืน เค้านอนไปนิดเดียว พอสว่างก็รีบกลับมาเคลียร์ ผู้หญิงบอกว่าต้องการไปจบกับผู้ชายคนนั้น ทั้งๆที่กำลังจิเป็นวันเกิดของเค้า เค้าเศร้าและเสียใจมาก สุดท้ายก็เลิกกัน เราก็ได้แต่ปลอบและคอยให้สติ ซึ่งเราก็แอบคิดนะ..ว่าการรอของเรา อยู่เพื่อปลอบใจเค้าในวันที่เค้าเจ็บสุดๆๆน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดดในตอนนั้น ผ่านมาประมาณเดือน..ผู้หญิงคนนั้นก็กลับเข้ามา..เราโกรธเค้ามาก ที่ให้อภัยกับคนที่ทำร้ายตัวเองขนาดนั้น กลืนน้ำลายตัวเองชัดๆ แต่เราก็ต้องปล่อยเขา เพราะเขาบอกเราว่า..จะเป็นแค่เพื่อนกับผู้หญิงคนนั้น เราก็พอเข้าใจนะ..แต่พอเค้าเริ่มแข็งแรง เค้าก็เริ่มมีสาวๆเข้ามา จนเราเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่า..จะอยู่ตรงนี้ในฐานะอะไร..เพราะคนที่ทำเค้าเจ็บเค้ายังให้อภัย แถมยังมองหาคนใหม่ๆ แล้วคนๆนี้ที่อยู่กับเค้าเสมอ และไม่เคยทำร้ายเค้าสักครั้ง..มันคืออะไร เราทำใจ และรอเวลาที่เราอยากเห็นเค้าเข้มแข็งมากกว่านี้ แม้จะเป็นได้แค่เพื่อนเราก็ยอม
แต่สิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับเรา เค้าหรือใครก็ไม่รู้ unfriend เราใน fb..เราโกรธและเสียใจมาก..เพราะทำไมเค้าต้องทำแบบนี้ ทำร้ายจิตใจและความรู้สึกกันทำไม แม้คำว่าเพื่อน เราก็ให้กันไม่ได้หรืออย่าง แต่ก็ยังอยากรับรู้เหตุผลจากเค้า..เรารอโอกาสสุดท้าย มันคือเมื่อวานวันเกิดเค้า ซึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเงียบหาย จนเราต้องบอกกับตัวดองแล้วว่า จากนี้ไป..เราจะยอมรับความจริง..ว่า..ไม่ว่าเมื่อไหร่ สถานการณ์ใดๆ จะอยู่ในฐานะไหน..เค้าไม่เคยคิดกับเรามากกว่าคำว่าเพื่อน และที่สำคัญ..เราต้องจำไว้ว่า..เค้าไม่เคยรักเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว..ที่ผ่านมา..ความดีของเรามันไม่เคยมีค่าสำหรับเค้าเลย..เค้าเคยมีเราตลอด.. แต่เราไม่เคยมีเค้าเลยสักครั้ง ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆและไม่ดีที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน.. วันนี้มันจะเป็นแค่ความทรงจำ..ตลอดไป ขอบคุณความไม่รักที่ทำให้รู้ว่า..รักแท้ที่แค่อยากเห็นเค้ามีความสุขมันมีค่าแค่ไหน..ขอบคุณนะคะ..ตาบ๊อง^_^
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558
เท้าที่ก้าวมาไกลเกินครึ่งชีวิต
นานแล้วสินะ...ที่เราไม่ได้เขียนบล็อค...ครั้งนี้ก็เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ก็วันแม่แห่งชาติที่ผ่านมา เราก็ตื่นไปใส่บาตร ไหว้พระ ที่วัดแถวบ้านเหมือนอย่างทุกปี และก็ไม่ลืมที่จะหาดอกมะลิสวยๆมาให้แม่เหมือนทุกครั้งที่ทำอ่ะค่ะ พอกลับถึงบ้าน เราก็เตรียมพวงมาลัย เตรียมน้ำอุ่นโรยดอกมะลิและกุหลาบ รอแม่ตื่นลงมาเพื่อขอขมาขออโหสิกรรมในสิ่งที่ทำไม่ดีต่อกัน และขอพร..เราก็มอบพวงมาลัยดอกมะลิ พร้อมก้มกราบแม่อย่างทุกครั้ง แล้วก็ล้างเท้าให้แม่ นวดๆไปมา สัมผัสได้ถึงเส้นตึง อาการปวดส้นเท้าของแม่ เราก็ให้ท่านแช่น้ำอุ่นสักพัก พอน้องชายลงมากราบแม่ น้องเราก็พอมีฝีมือ..ล้างเท้าเสร็จก็นวดเส้น แช่น้ำอุ่น น้ำเย็น น้ำอุ่น แม่ก็รู้สึกดีขึ้น น้องชายเราก็จับนวดทั้งตัว..แม่ก็รู้สึกสบายตัวขึ้น เท่านี้อาจดูเหมือนเล็กๆน้อยๆที่เราทำ แต่ขอแค่ให้เราได้ทำให้ท่านเถอะค่ะ
บางคนบอกว่า..เห็นหน้าแม่ทุกวัน ท่านก็มีความสุขดี แต่เราเคยมองที่เท้าท่านกันบ้างไหมค่ะ ก้าวทุกก้าวที่ท่านเดิน เท่าที่เดินผ่านอะไรต่ออะไรมาเกินครึ่งชีวิต เหยียบสิ่งต่างๆมามากมาย เพื่อจะก้าวผ่านมันไปให้ได้...ลองก้มมองกันดูสักนิด และที่สำคัญก้มลงกราบเท้าท่านกันสักครั้งหรือยัง กอดท่านกันสักครั้งรึป่าว บอกรักท่านกันบ้างไหม ทำสิ่งดีๆเหล่านี้เถอะนะคะ ไม่ใช่เพื่อบุญกุศลใดๆ หรอกนะ..แต่ที่ให้ทำเนี่ย..เพื่อผู้หญิงที่ให้กำเนิด อดทนทุกๆอย่าง และเหนื่อยมาเกือบครึ่งชีวิต และรักคุณที่สุด ในหลายครั้งๆเราอาจโหยหาความรักจากหลายๆคน ต้องการอ้อมกอดของบางคน แต่อยากบอกทุกคนว่า..อ้อมกอดของแม่อุ่นที่สุดแล้วล่ะค่ะ มันเหมือนสิงมหัศจรรย์ที่เราไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง เพราะก็กอดเล่นกันเสมอ แต่ล่าสุด เราไม่สบาย ซึ่งจู่ๆก็มีอาการหนาวสั่น ไข้ขึ้นแบบไม่ลดเลย ทานยาก็แล้ว เช็ดตัวก็แล้ว เสื้อผ้าหนาๆ ผ้าห่มหลายผืน แต่มันหนาวข้างใน สั่นอยู่ตลอด จนที่บ้านกำลังจะเรียกรถพยาบาลแล้วล่ะค่ะ แต่ด้วยความเป็นแม่ที่ไม่อยากเห็นลูกทรมาน ไม่รู้จะทำอย่างไร แม่ก็เอาตัวเองเข้ามาอยู่ในผ้าห่มแล้วกอดเรา..จากที่สั่นๆอยู่ ค่อยสงบนิ่ง จนเราหลับไป..บอกตรงๆว่า..มันอุ่นทันตาจริงๆนะคะ..พลังความรักของแม่ทำให้เราดีขึ้นแบบไม่ต้องไปโรงพยาบาล..นี่แหล่ะค่ะ..พลังความรักบริสุทธิ์ที่คงหาไม่ได้จากที่ไหนแล้ว...จริงๆๆนะคะ
อย่างในวันแม่ปีนี้ ที่บ้านเราก็ทำอาหารทานกันในบ้านปรกติ และรอน้องสาวคนเล็กกลับจากเข้าค่าย ซึ่งต้องไปรับ เท้าของแม่ก็ยังไม่หายดี แต่ก็ไม่ยอมบอก จะไปรับด้วย ไปนั่งรอเพื่อไม่อยากให้ลูกลำบาก รับน้องเสร็จก็รีบกลับ เพราะไม่อยากให้เดินเยอะ และพอกลับมาที่บ้าน ด้วยความที่ฝีมือทำอาหารเป็นเลิศ จึงไม่อยากออกไปต่อคิวทานอาหารใดๆๆ แต่วันแม่ทั้งที่ ในเมื่อแม่ชอบทุเรียน แต่ลูกๆไม่ทาน มีไอศกรีมทุเรียน โฆษณามาหลายวันก็เปรยมา ลูกๆก็เลยพาไป แต่พอถึงร้าน ไอศกรีมทุเรียนหมด แต่ก็ทานอย่างอื่นแทน ไปเดินเล่นงานวัดแถวบ้านกันต่อ เห็นลูกๆเล่นเกมก็ยืนยิ้มยืนหัวเราะ...เราเลยเก็บภาพไว้..หลายครั้งที่เราซื้อขนมที่แม่ชอบมาให้แล้วแม่ทานด้วยความอร่อย..เราก็จะมีความสุข หลายครั้งที่เรายิ้มได้เมื่อเห็นแม่ยิ้มหรือหัวเราะ..และนี่ก็เป็นอีกครั้ง..
นี่ใช่ไหม่ค่ะ..รางวัลแห่งความสุข ซึ่งในหลายคนอาจจะไม่ได้สัมผัส..ถ้าวันนี้เราไม่เริ่มทำสิ่งดีๆให้ท่าน โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ทำดีกับคนที่คุณรักและรักคุณอย่างคุณแม่และคุณพ่อกันเถอะนะคะ อย่าไปเขินอายกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ เพราะถ้าเราไม่ทำ..เราอาจไม่มีโอกาสมาเขินอายก็ได้นะคะ..อย่ามองหาความรักที่ไกลตัว..เพราะความรักนั้นอาจไม่มีอยู่จริง..แต่ความรักที่แท้จริง..กับอยู่กับมือและเท้าที่อยู่นิ่งที่บ้านของเรานี่แหล่ะค่ะ..เท้าที่ก้าวมาไกลเกินครึ่งชีวิต..กราบพระในบ้านกันด้วยนะคะ แล้วความสุขจะเกิดขึ้นกับตัวเราเองค่ะ^_^
บางคนบอกว่า..เห็นหน้าแม่ทุกวัน ท่านก็มีความสุขดี แต่เราเคยมองที่เท้าท่านกันบ้างไหมค่ะ ก้าวทุกก้าวที่ท่านเดิน เท่าที่เดินผ่านอะไรต่ออะไรมาเกินครึ่งชีวิต เหยียบสิ่งต่างๆมามากมาย เพื่อจะก้าวผ่านมันไปให้ได้...ลองก้มมองกันดูสักนิด และที่สำคัญก้มลงกราบเท้าท่านกันสักครั้งหรือยัง กอดท่านกันสักครั้งรึป่าว บอกรักท่านกันบ้างไหม ทำสิ่งดีๆเหล่านี้เถอะนะคะ ไม่ใช่เพื่อบุญกุศลใดๆ หรอกนะ..แต่ที่ให้ทำเนี่ย..เพื่อผู้หญิงที่ให้กำเนิด อดทนทุกๆอย่าง และเหนื่อยมาเกือบครึ่งชีวิต และรักคุณที่สุด ในหลายครั้งๆเราอาจโหยหาความรักจากหลายๆคน ต้องการอ้อมกอดของบางคน แต่อยากบอกทุกคนว่า..อ้อมกอดของแม่อุ่นที่สุดแล้วล่ะค่ะ มันเหมือนสิงมหัศจรรย์ที่เราไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง เพราะก็กอดเล่นกันเสมอ แต่ล่าสุด เราไม่สบาย ซึ่งจู่ๆก็มีอาการหนาวสั่น ไข้ขึ้นแบบไม่ลดเลย ทานยาก็แล้ว เช็ดตัวก็แล้ว เสื้อผ้าหนาๆ ผ้าห่มหลายผืน แต่มันหนาวข้างใน สั่นอยู่ตลอด จนที่บ้านกำลังจะเรียกรถพยาบาลแล้วล่ะค่ะ แต่ด้วยความเป็นแม่ที่ไม่อยากเห็นลูกทรมาน ไม่รู้จะทำอย่างไร แม่ก็เอาตัวเองเข้ามาอยู่ในผ้าห่มแล้วกอดเรา..จากที่สั่นๆอยู่ ค่อยสงบนิ่ง จนเราหลับไป..บอกตรงๆว่า..มันอุ่นทันตาจริงๆนะคะ..พลังความรักของแม่ทำให้เราดีขึ้นแบบไม่ต้องไปโรงพยาบาล..นี่แหล่ะค่ะ..พลังความรักบริสุทธิ์ที่คงหาไม่ได้จากที่ไหนแล้ว...จริงๆๆนะคะ
อย่างในวันแม่ปีนี้ ที่บ้านเราก็ทำอาหารทานกันในบ้านปรกติ และรอน้องสาวคนเล็กกลับจากเข้าค่าย ซึ่งต้องไปรับ เท้าของแม่ก็ยังไม่หายดี แต่ก็ไม่ยอมบอก จะไปรับด้วย ไปนั่งรอเพื่อไม่อยากให้ลูกลำบาก รับน้องเสร็จก็รีบกลับ เพราะไม่อยากให้เดินเยอะ และพอกลับมาที่บ้าน ด้วยความที่ฝีมือทำอาหารเป็นเลิศ จึงไม่อยากออกไปต่อคิวทานอาหารใดๆๆ แต่วันแม่ทั้งที่ ในเมื่อแม่ชอบทุเรียน แต่ลูกๆไม่ทาน มีไอศกรีมทุเรียน โฆษณามาหลายวันก็เปรยมา ลูกๆก็เลยพาไป แต่พอถึงร้าน ไอศกรีมทุเรียนหมด แต่ก็ทานอย่างอื่นแทน ไปเดินเล่นงานวัดแถวบ้านกันต่อ เห็นลูกๆเล่นเกมก็ยืนยิ้มยืนหัวเราะ...เราเลยเก็บภาพไว้..หลายครั้งที่เราซื้อขนมที่แม่ชอบมาให้แล้วแม่ทานด้วยความอร่อย..เราก็จะมีความสุข หลายครั้งที่เรายิ้มได้เมื่อเห็นแม่ยิ้มหรือหัวเราะ..และนี่ก็เป็นอีกครั้ง..
นี่ใช่ไหม่ค่ะ..รางวัลแห่งความสุข ซึ่งในหลายคนอาจจะไม่ได้สัมผัส..ถ้าวันนี้เราไม่เริ่มทำสิ่งดีๆให้ท่าน โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ทำดีกับคนที่คุณรักและรักคุณอย่างคุณแม่และคุณพ่อกันเถอะนะคะ อย่าไปเขินอายกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ เพราะถ้าเราไม่ทำ..เราอาจไม่มีโอกาสมาเขินอายก็ได้นะคะ..อย่ามองหาความรักที่ไกลตัว..เพราะความรักนั้นอาจไม่มีอยู่จริง..แต่ความรักที่แท้จริง..กับอยู่กับมือและเท้าที่อยู่นิ่งที่บ้านของเรานี่แหล่ะค่ะ..เท้าที่ก้าวมาไกลเกินครึ่งชีวิต..กราบพระในบ้านกันด้วยนะคะ แล้วความสุขจะเกิดขึ้นกับตัวเราเองค่ะ^_^
วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556
แล้วเวลาก็พาเราจากกาน
และแล้วก็ถึงเวลา 28 มกราคม 2556 คืนนี้แล้วสินะ ที่เพื่อนรักของเราต้องเดินทางไปเกาหลี แล้วไม่รู้เมื่อไหร่ที่จะได้กลับมาอยู่เมืองไทยอีก แต่เราทั้งสามคนก็สัญญากันว่าจะพยายามเจอกันบ้างในรอบปี และปี้นี้ น่าจะมีอีกสองครั้ง คืองานสำคัญของเพื่อนรักอีกคน และเราก็ต้องไปเกาหลีกันสักครั้ง เราสามคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัย ม.4 ที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดภูเก็ต และจนถึงทุกวันนี้ คำว่าเพื่อนรักมันอาจฟังดูผิวเผินไป เพราะเราทั้งสามคน เหมือนรับรู้เรื่องราวและปัญหาของกันและกันมาโดยตลอด บางครั้งไม่ต้องพูดก็จะรู้ว่าอีกคนหรืออีกสองคนจะพูดอะไร บางครั้งเราทั้งสามก็มักจะคุยเรื่องที่คนอื่นอาจไม่คุย หรือบางครั้งก็มักรับรู้ได้ว่าอีกคนหรืออีกสองคนเป็นอะไรในเวลานั้น นี่แหล่ะเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา และนี่แหล่ะที่เค้าคงเรียกว่าเพื่อนแท้ เพื่อนตายค่ะ คงไม่มีความรู้สึกอะไรที่จะบรรยายมากไปกว่า การที่เราเติบโตมาพร้อมกัน อยู่ในที่ๆต่างกัน แต่เราก็ยังผูกพันและรักกันมากไม่ต่างไปจากเดิม
ขอบคุณกาลเวลาที่ทำให้เราได้พบกัน ได้รู้จัก ได้เรียนรู้ ได้รัก ได้เข้าใจ แต่ก็ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเวลาถึงต้องพาเราจากกัน เมื่อก่อนคนหนึ่งอยู่เกาหลี คนหนึ่งอยู่อเมริกา และเราอยู่เมืองไทย กว่าจะได้กลับมาใกล้ชิดกันหรือรวมกันสามคนก็ยากมาก แต่พอได้ใกล้กันนี่ยังไม่ถึงปีเลย เราก็ต้องจากกันอีกแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่า..มันจะอยู่กับเราไม่จางหายนั่นคือ ความรักของเพื่อนทั้งสองที่มีให้กับเรา ขอบคุณที่รักฉัน ขอบคุณที่เข้าใจฉัน ขอบคุณที่อภัยให้กัน ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ขอบคุณความเป็นเพื่อนที่เรามีให้กัน....ขอบคุณจริงๆ ฉันรักแกนะ...นุชและเจี๊ยบ เพื่อนที่ดีที่สุดของฉันทั้งสองคน...เราทั้งสามคนจะรักกันตลอดไป^_^http://www.youtube.com/watch?v=pqKZNdKeH8s
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)